สภาปลุกเศก “๓ พรก.๑.๙ ล้านล้าน” มา ๕ วัน บ่ายวาน (๓๑ พค.๖๓) ก็ประสิทธิเม
ฉบับที่ ๑ ……..
“พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา, เยียวยา, ฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ๑ ล้านล้าน
จำนวน สส.ในที่ประชุม ๔๘๑ คน
ลงมติเห็นด้วย ๒๗๔ คน
ไม่เห็นด้วย ๐ คน
งดออกเสียง ๒๐๗ คนฉบับที่ ๒………
“พรก.ให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยออก Soft Loan (เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ) เพื่อดูแลภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ๕ แสนล้าน
จำนวนสส.ในที่ประชุม ๔๘๑ คน
ลงมติเห็นด้วย ๒๗๕ คน
ไม่เห็นด้วย ๑ คน
งดออกเสียง ๒๐๕ คน
ฉบับที่ ๓……..
“พรก.ดูแลเสถียรภาพภาคการเงิน ๔ แสนล้าน โดยตั้งกองทุนรวม Corporate Bond Liquidity stabilization Fund หรือ BSF
และให้ “ธนาคารแห่งประเทศไทย” ซื้อขายหน่วยลงทุนในกองทุนดังกล่าว
จำนวนผู้เข้าประชุม ๔๘๒ คน
ลงมติเห็นด้วย ๒๗๔ คน
ไม่เห็นด้วย ๑๙๕ คน
งดออกเสียง ๑๒ คน
ไม่ลงคะแนนเสียง ๑ คน
เป็นอันว่า ทั้ง ๓ พรก.ผ่านสภาเรียบกริบ ขั้นตอนต่อไปส่งวุฒิสภาเพ่งจิต ก่อนลงประกาศในราชกิจจาเป็นกฎหมายสมบูรณ์
กฏหมายนี้ เป็นกฎหมายการเงิน ถ้าแพ้เสียงโหวตในสภา รัฐบาลต้องลาออก
ที่ไม่แพ้ ไม่ใช่เพราะพรรครัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
หากแต่ด้วย ………
๑.กำขี้ดีกว่ากำตด
๒.นายกฯประยุทธ์ “แข็งเกินหัก” เพราะประชาชนยังเอา
ดังนั้น “ไพ่ ๒ หน้า” อย่างประชาธิปัตย์, ภูมิใจไทย หงายออกมา จึงตรงข้ามราคาคุย
๓.พลังประชารัฐ แตกร้อยก๊ก เป็นแตกชิงอำนาจภายใน เมื่อมีการโหวตมีสถานะพรรคแกนเป็นเดิมพัน แต่ละก๊กจึงรักษาเดิมพัน ในฐานของตน
ส่วนซีกค้าน เห็นตะบี้-ตะบันค้านในทุกเรื่องที่รัฐบาลทำ แต่ตอนโหวตกลับ “งดออกเสียง” เป็นส่วนใหญ่ หมายความว่าไง?
อันนี้ อย่าไปว่าฝ่ายค้านเขาเลย!
มันเป็นการแสดงตามบทน่ะ ก็รู้ว่า สถานการณ์โควิด ต้องกู้ ต้องใช้เงิน ถึงโหวตค้าน ก็แพ้เสียงรัฐบาล ฉะนั้น “งดออกเสียง” เอาเชิงดีกว่า
เชิงอะไร?
ก็เชิงไปรวมหัวกันตั้งกรรมาธิการกับพรรคซีกรัฐบาลอ้างหรูๆ ว่าตรวจสอบ, ป้องกันทุจริต
แต่จริงๆ แล้ว ไม่ได้หวังตรวจสอบอะไรหรอก เพราะเขาตรวจกันมายิบแล้ว ก่อนจะอนุมัติแต่ละโครงการ
ที่ต้องการ คือแต่ละสส.อยากเอี่ยว พูดสวยๆ ว่า “อยากมีส่วนร่วมในการลงพื้นที่ช่วยเหลือชาวบ้าน ในงบ ๔ แสนล้านนี้ด้วย”
การฟื้นฟูด้านเกษตรพอเพียง การท่องเที่ยว การขุดหนอง, คลอง, บึง และ ต่างๆ นานา ที่เทลงเศรษฐกิจฐานราก
แต่ละพื้นที่……..
มันหมายถึง “ฐานราก” แต่ละสส.ในพื้นที่ด้วย
เพราะเหตุนั้น จึงไม่เพียงซีกค้านเสนอตั้งกรรมาธิการเท่านั้น พรรคร่วมรัฐบาลเอง ยังเล่นบทค้านในเกมนี้ออกหน้า-ออกตาด้วย
ทั้งหมดนี้ ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ มันเป็นไปตามธรรมชาติการเมือง กินรวบผิดกฎหมาย ต้องกินแบ่ง ถือเป็นการเอาใจใส่ดูแลประชาชน
ที่อยากให้ดูเป็นพิเศษ……..
คือปฏิกริยาตอบสนองทางการเมืองระบบสภา ในรอบ ๑ ปี นับจากพฤษภา.ปี ๖๒
เปิดสภาปี ๖๒ ซีกค้าน “เพื่อไทย-อนาคตใหม่” เหมือนผีพุ่งใต้ ซีกรัฐบาล “พลังประชารัฐ” เหมือนดาวเคราะห์รอแสง!
๑ ปีสภาผ่านไป ไวเหมือนโกหก!
เปิดมาอีกที พฤษภา.ปี ๖๓ “ผีพุ่งใต้” ที่วูบวาบบนท้องฟ้า ผ่าวาบลงนรกหมกไหม้ กลายเป็น “ไอ้สัส-แดงส้ม”
“สิตางค์” ชี้ ส้มหยุด..ส้มหยุด
ไม่หยุด กลับมุด “ขุมอเวจี” ท่าเดียว!
ผู้คนหมดศรัทธา ที่หวังรุ่นใหม่ จะเข้าไปทำอะไรใหม่ๆ ผ่านระบบสภาเป็นทางนำ
ที่ไหนได้ ใหม่ในคราบไอ้สัส วันๆ เอาแต่มุดไปขุดของเก่า ปี ๗๕ ปี ๓๕ ปี ๕๓ มาขายกิน
ในขณะที่ดาวเคราะห์อย่างพลังประชารัฐ โดย พลเอกประยุทธ์ ที่หยามว่าเป็นเผด็จการคร่ำครึ
กลับ “สร้างสิ่งใหม่” พลิกโฉม, วางรากฐานให้สังคมและเศรษฐกิจประเทศในแต่ละวัน
ในขณะที่แก๊งใหม่ไอ้สัส ก้มหน้า-ก้มตาเอาแต่หยามด่านายกฯ ประยุทธ์กันไป
เงยหน้าขึ้นมาดูอีกที
เฮ้ย ชิบละ…
รถไฟฟ้าใต้ดิน-บนดินก่ายเป็นใยแมงมุมยักษ์, รถไฟรางคู่, รถไฟฟ้าความเร็วสูง, มอเตอร์เวย์, มุดทะเล-เจาะภูเขา, อีอีซี, รถไฟฟ้าเชื่อม ๓ สนามบิน, สถานีกลางบางซื่อ และท่าเรือ-สนามบิน ยังกะโคตรเห็ดผุดกลางอาเซียน, ดิจิทัล บาท ด้วยเทคโนโลยีบล็อคเชน, การนำประชาชนหลายสิบล้านเข้าฐานข้อมูลระบบบิ๊ก ดาตา, การดูแลคนชรา-คนยากคนจน-คนไร้อาชีพ มีเงินกินรายเดือน
จาระไนไม่หวัด-ไม่ไหว พึ่บพั่บ…….
ทั้งประเทศไทย ทั้งชีวิตคนฐานรากประเทศ เปลี่ยนไป ในทางดี-มีอนาคต ถึงขนาดนี้เชียวหรือนี่?
ทั้งด่า ทั้งดึง ทั้งทำใต้ดิน-บนดิน ทั้งจ้างฝรั่งต่างประเทศสร้างข่าวใส่ร้าย ทำลายเครดิต สารพัด-สารพัน
๕ ปี นึกว่าจะป่นเป็นแป้ง
กลายเป็นแป้ง “กูลิโกะ” ฟูเต็มกระด้ง จากดาวเคราะห์ นายกฯ ประยุทธ์แปรเป็น “ดาวฤกษ์” เหนือคาดหมายซะงั้น!
ดังนั้น การประชุม ๕ วันที่ผ่าน
แทนที่ชาวบ้านจะบอกดี ที่ฝ่ายค้านช่วยตรวจสอบและคานอำนาจรัฐบาลในการใช้เงินเป็นล้านล้านบาท
กลับบอกว่า เปลืองน้ำ-เปลืองไฟ……..
ระบบสภานั้นดี แต่เพราะมีไอ้สัส-อีสัสซุกคราบสส.เข้ามาอยู่ในสภา จึงหมดศรัทธาที่จะตามดู-ตามฟัง!
ก็น่าเสียดาย สำหรับคนที่ไม่ได้ตามดู เพราะอดเห็น นายกฯ ที่ถูกชี้หน้าเป็นนายกฯเผด็จการ จากพวกอ้างเป็นฝ่ายประชาธิปไตยมาตลอด
มาร่วมประชุม มานั่งให้ฝ่ายค้านเหยียดหยามประณามด่าทุกวัน เรียกว่าตลอด ๕ วันประชุม
ยิ่งด่า……
ฝ่ายด่ากลับยิ่งจมลง
ฝ่ายถูกด่า กลับยิ่งสูงขึ้น
เพราะ ฝ่ายค้าน บางสส.มีภูมิและทำการบ้านใน ๓ พรก.มาดี ก็ค้านในทางชี้ปัญหาและทางเสนอแนะ เช่นสส.หญิงท่านหนึ่งพรรคก้าวไกล
จำชื่อไม่ได้ จำแต่นามสกุลว่า “ตะล่อมสิน” อภิปรายอย่างนี้ เป็นสง่ากับตัวเอง และเป็นราศีกับสัปปายะสภาสถาน
แต่มากต่อมาก นึกเอา-คิดเอา ลุกขึ้นมาด่า มาเสียดสี เรียกว่าระบายแค้น เอามัน เอาสีสัน ไม่มีข้อมูล ไม่ตรงทิศ-ตรงทาง ผิดมากกว่าถูก
ในขณะเดียวกัน นายกฯ ที่เคยเป็นเบนซินไวไฟ คราวนี้ตกผลึกลึกเป็นเชลท์ออยล์ ลึกเกินไฟแค้นชั้นต่ำจะหลอมให้ละลาย
ก็นั่งฟังสงบ ฟังไป จดไป บางจังหวะ ยิ้มให้กับหัวใจตัวเองไป
ถึงคราวลุกขึ้นอภิปรายชี้แจง ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ จากเมื่อ ๔-๕ ปีก่อน ทุกคนคงทราบ นายกฯ ทหารคนนี้ อารมณ์ตอบสนองขนาดไหน การโต้ตอบเกรี้ยวกราดขนาดไหน
แต่วันนี้ อย่างตอนสรุปปิดอภิปรายเย็นวาน (๓๑ พค.) ต้องบอกว่า นายกฯ วันนี้กับตะก่อน “เป็นคนละคน” อย่างนั้นจริงๆ
คนไหน “ชนะอารมณ์” คนนั้น “ชนะทั้งโลก”
วันนี้ นายกฯ ประยุทธ์ท่านชนะอารมณ์ ยึดสาระบนวุฒิภาวะผู้ใหญ่-ผู้นำ การอภิปรายจึงลื่นไหล สาระในความจริงใจ รื่นหูผู้ฟัง สมกับคำว่า “ยกตนขึ้นพ้นตม” แล้ว!
คนอื่นจะมองมุมไหน ก็สุดแต่ละมุมใจก็แล้วกัน
ผมเพียงแต่สังเกตบุคลิก-บทบาทผู้นำจากยุคคสช. มาถึงยุคพปชร. เทียบดู เห็นแตกต่างในพัฒนาการอย่างไร ก็พูดไปอย่างนั้น
มีอย่างเดียว จาก ๒๒ พฤษภา.๕๗ ถึง ๓๑ พฤษภา.๖๓ ที่คงเดิม คือ
“ทุ่มเท-จริงใจ-ไม่โกง-ซื่อตรงต่อสถาบัน”
เพื่อไทย-ฝ่ายค้าน พัฒนาการที่กำลังเป็นคือ โต-แตก และแตก และแตกสลาย “สู่ตาย” ในที่สุด
ส่วน พลังประชารัฐ กำลังพัฒนาการจากลิงร้อยป่า เป็น “ลิงได้แก้ว”
แทนที่จะเห็นคุณค่าแก้วคือนายกฯ แล้วสามัคคีรักษา
แต่ลิงก็คือลิง “ทิ้งแก้ว” ไป “แย่งกล้วย”
ก็จริงอยู่ ถึงไม่มีประยุทธ์ พรรคพปชร.ก็ยังมีอยู่
แต่ถ้าพปชร.ที่ไม่มีประยุทธ์ มีแต่ป้อม…..
ต่อให้ชาติหน้า ก็อย่าหวังว่า พรรคนี้จะมีนายกฯ!