เมื่อ ส.ส. “ไม่ รพช.” ก็ดีไปอย่าง
จะได้ตรวจสอบซึ่งกันและกัน สภาฯ สถานที่ออกกฎหมาย จะได้น่าเชื่อถือ
ด้วย “ผู้มีศีลเสมอ” ทำหน้าที่
ส่วนพวกทุศีล คือผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น “ถือหุ้นสื่อ”
จะได้ขจัดออกไป ไม่หมกไว้เป็นเหตุทำให้การลงมติใดๆ ต้องวิบัติ!
สมมุติตรวจสอบแล้ว ส.ส. ๕๐๐ หายไปซักครึ่ง แหม..ผมว่ายิ่งดี ที่เป็น ส.ส.เขต จะได้เลือกตั้งใหม่
ปิดแอร์ “วัดใจ” กันอีกที!
คดีธนาธร “ถือหุ้นสื่อ” ศาลรัฐธรรมนูญท่านไม่ให้เลื่อนแล้วมิใช่หรือ คือที่ประชุมคณะย่อยของศาลฯ ท่านบอกว่า
เคยอนุญาตให้ขยายเวลาไปแล้วครั้งหนึ่ง เป็นเวลา ๓๐ วัน
นี่ก็ยังไม่ถึงครบกำหนด ๓๐ วัน ที่ได้รับการขยายเวลาเลย ก็มายื่นขอขยายออกไปอีก ๑๕ วัน
จึงเห็นว่า……
“การขยายเวลารอบแรก น่าจะเพียงพอต่อการจัดเตรียมเอกสารแล้ว”
นั่นคือ “สิ้นสุดทางเลี่ยง” แล้ว
๘ กรกฎา นายธนาธรซึ่งอยู่ระหว่างถูกพักการทำหน้าที่ ส.ส.จะต้องขึ้นศาลรัฐธรรมนูญ
มีเอกสารกี่ลัง ที่ยืนยันว่าโอนหุ้นสื่อไปหมดแล้ว ตั้งแต่ ๘ มกรา ๖๒ ตามที่โขมงโฉงเฉงไว้ คือก่อนลงสมัครเป็น ส.ส.เมื่อ ๖ ก.พ.๖๒
ก็แบกไป
จะอ้างใครเป็นพยานกี่ปาก ก็อ้างไป
ไปให้ศาลท่านตรวจพยานหลักฐานคู่ความทั้งสองฝ่ายที่เสนอต่อศาล
ส่วนจะอย่างไรต่อไป ศาลท่านจะบอกให้ทราบเองวันนั้น ว่าจะไต่สวนพยานกี่ปาก วันไหนบ้าง หรือจะขอเอกสารอะไรเพิ่มเติม
หรือศาลท่านเห็นว่า เท่าที่มีอยู่เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องไต่สวนพยานหลักฐานเพิ่มเติม
ก็จะนัดวันให้มาฟังคำพิจารณาวินิจฉัยเลยก็ได้!
ย้ำเพื่อความเข้าใจนิดหนึ่ง…..
“วันที่ ๘ กรกฎา” ไม่ใช่วันตัดสิน เพียงเป็นวัน “ศาลนัด” เป็นนัดแรกเท่านั้น!
ที่ว่าธนาธรถือหุ้นสื่อ อาจเลือนๆ กันว่า มันคืออย่างไรกัน?
มันอย่างนี้ คือเดิมนั้น ธนาธรถือหุ้น “บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด” บริษัทนี้ ผลิตนิตยสาร WHO
ตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ มาตรา ๙๘(๓) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา ๔๒(๓) กำหนดคุณสมบัติมิให้ผู้สมัคร ส.ส.เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ
เมื่อนายธนาธรจะมาลงสมัคร ส.ส.เป็นหัวหน้าพรรค นายธนาธรย่อมรู้กฎหมาย
ยิ่งบัดดี้ “ปิยบุตร” เป็นโคตรกฎหมาย ที่จะปล่อยให้สหายตายน้ำตื้นด้วยเรื่องนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ นอกจาก “จงใจ”
ดังนั้น ธนาธรจึงโอนหุ้นในส่วนของเขาให้เมียกับแม่
นายธนาธรบอกว่า โอนเรียบร้อย เมื่อ ๘ มกรา ๖๒ คือก่อนลงสมัคร ส.ส.
ส่วนการไปยื่นสมัคร ส.ส.ที่ กกต.นั้น นายธนาธรไปยื่นสมัคร เมื่อ ๖ ก.พ.๖๒
แต่ดูเหมือนการแจ้งโอนหุ้นต่อ “กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์” อันถือเป็น “หลักฐานทางราชการ” ที่เรียกว่า บอจ.๕
เท่าที่ปรากฏ ซึ่งใครก็ไปขอดูได้….
การโอน เป็นวันที่ ๒๑ มีนาคม ๖๒!?
ประเด็นก็มีอยู่เพียงว่า ธนาธรโอนหุ้นสื่อก่อนไปสมัคร ส.ส.วันที่ ๖ กุมภา หรือโอนหลังจากนั้น?
แค่นั้นจริงๆ
ไม่ต้องเลื่อน ไม่ต้องขยายเวลา ถึง ๔๕ วันหรอก
แค่ ๔ นาที เหลือบตาดู บอจ.๕ แวบเดียว ก็รู้แล้ว ว่าโอนวันไหน
๘ มกราที่อ้างนั่งรถตู้เหาะมาโอน
หรือโอน ๒๑ มีนา…….
ตาม บอจ.๕ ที่กรรมการ คือมารดาท่าน “คัดลอก” ข้อมูลด้วยลายมือ จากสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ส่งนายทะเบียนกันแน่?
มันไม่มีอะไรสลับซับซ้อน ไม่ต้องใช้เอกสารเป็นลัง ไม่ต้องอ้างพยานเป็นโหล ไม่ต้องใช้มือกฎหมายตูลูส
ใช้ บอจ.๕ ใบเดียว ก็ตูดลู่แล้ว!
ฉะนั้น ยิ่งเล่นแง่ ประวิงเวลา อ้างโน่น-อ้างนี่ เที่ยวเดินสายตะแบงพูด คนยิ่งเห็นเป็นพิรุธ ว่าปูทางป้ายโทษ
ถ้าตัดสินว่าขาดคุณสมบัติ นั่น..เขาถูกกฎหมายกระทำ
เขาก็จะปลุกเร้าพี่น้องประชาชน ให้ออกมาลงถนน
ถ้าตัดสินว่าไม่ขาด……
นั่นเขาถูก กฎหมายไม่สามารถทำอะไรเขาได้ เขาก็จะคุยว่า จะกลับเข้าไปใช้สภาเป็น “คณะวิปลาส”
สานต่องาน “คณะราษฎร” ยึดอำนาจสถาบัน!
เอาล่ะ…
เมื่อศาลท่านไม่อนุญาตให้เลื่อนวันนัดขึ้นศาล ก็หมายความว่า งานสานต่อยึดอำนาจสถาบันของคณะราษฎรในสภาของธนาธรเหลือน้อยแล้ว
จึงไม่น่าแปลก ที่เห็นช่วงนี้ “คณะวิปลาส” เปิดหน้า-เปิดเจตนา เดินสายปลุกปั่น ระดมพล “เหนือ-อีสาน” เต็มพิกัด
ใจเย็นๆ ธนาธร….
สมมุติ ศาลมีคำวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติ ก็แค่พ้นจากสภาพ ส.ส.เทอมนี้เท่านั้นเอง
เดินสายนอกสภา ตีโอบไปบรรจบกับคณะพรรคที่สานงานคณะราษฎรในสภาได้
เพราะการขาดคุณสมบัติ เป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่มีผลกับพรรค
แต่ที่น่าห่วง…….
ก็ตรง กกต.ไต่สวนด้วยว่า มีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๑๕๑
“กรณีผู้ใด รู้อยู่แล้วว่า ตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม
หรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ หรือไม่”
ตรงนี้แหละ จะเข้าสู่อาญา เพราะตาม พ.ร.บ.เลือกตั้งฯ ส.ส. มาตรา ๑๕๑ บอกว่า
“หากพบว่า บุคคลใดกระทำความผิด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑-๑๐ ปี
ปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐-๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น มีกำหนด ๒๐ ปี
ในกรณีที่ผู้กระทำผิดเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.
ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้นั้น…….
คืนเงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่น ที่ได้รับมาเนื่องจากการดำรงตำแหน่งดังกล่าว ให้แก่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรด้วย”
ประเด็นนี้ จึงมีคำถามถึงธนาธรด้วยห่วงใย ว่า……
จากโวหารวาทะต่างกรรม-ต่างวาระของธนาธร มันฟ้องตัวเองว่า ก็รู้อยู่แต่แรกแล้วว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ ใช่หรือไม่?
จบจากศาลรัฐธรรมนูญเรื่องคุณสมบัติแล้ว ธนาธรก็อย่าเพลินบทคณะวิปลาสจนลืมตามเรื่อง
ว่าคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของ กกต.สรุปประเด็นอาญาไปถึงไหน อย่างไร?
เพราะมีทั้งคุก ทั้งตัดสิทธิ์ถึง ๒๐ ปี
ยังไม่ต้องพูดถึงคดี “ปล่อยเงินกู้” ให้พรรคตัวเองกินดอก ซึ่งนั่น โทษถึงยุบพรรค!
ไงก็ขอบคุณธนาธร การแปลงร่างระบอบทักษิณเป็นฟิวเจอริสตา ขี้หมู-ขี้หมา ก็ทำให้คนสนใจประวัติศาสตร์ การ “ยึดพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์”……..
ไปเป็นของ “คณะราษฎร” คนละหนุบ-คนละหนับ แล้วบอกประชาชนชาวสยามเมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๗๕ ว่า
นี่คือ “ประชาธิปไตย”!?