วันนี้ คุยเรื่องหนักหัว ก็รู้…ท่านไม่อยากอ่านเรื่องทำนองนี้ซักเท่าไหร่
แต่อยากให้ฝืนซักนิด
เพราะมันไม่เพียงเป็น “ห่วงโซ่ชีวิต” ที่ทุกคน ทั้งรู้ตัว-ไม่รู้ตัว ล้วนอยู่ในนั้นแล้วมันยังเป็นห่วงโซ่ธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมประเทศ ทั้งผลิต-บริโภค-ส่งออก-นำเข้า สัมพันธ์ถึงแรงงาน บนฐานตัวเลขประเทศ ปีละร่วม ๒ ล้านล้านบาท!
ก็เรื่องวัตถุอันตราย……..
“พาราควอต-คลอร์ไพริฟอส” ที่เข้าใจ-เข้าถึงกันครึ่งๆ-กลางๆ สุดแต่ว่า ฝ่ายไหนจะมีแรงฉุดกระชาก ก็ลากกันไปนั่นแหละ
ขณะนี้ ราชกิจจานุเบกษา ลงประกาศไปแล้ว เมื่อ ๑๕ พค.๖๓ ว่า
ตั้งแต่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๓ เป็นต้นไป ไม่ว่าใครก็ตาม “ห้ามมี-ห้ามใช้” วัตถุอันตรายทั้ง ๒ ตัวนั้นเด็ดขาด
ขีดเส้นใต้ด้วยหมึกแดง ๒ เส้น….. “ให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก หรือผู้มีไว้ในครอบครองวัตถุอันตราย ชนิดที่ ๔ (พาราควอต, คลอร์ไพริฟอส) ที่ได้ดำเนินการอยู่ก่อนวันที่ประกาศฉบับนี้ มีผลใช้บังคับ
ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ภายในระยะเวลาที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนด
แปลภาษาราชการ เป็นภาษาชาวบ้านเพื่อความเข้าใจก็คือ
ตั้งแต่ ๑ มิย.คือ ตั้งแต่สัปดาห์หน้านี้เป็นต้นไป ใครผลิต ใครนำเข้า ใครส่งออก และใครมีไว้ในครอบครอง
ผิดกฎหมาย………
“ผู้ใดนำผ่านวัตถุอันตรายชนิดที่ ๔ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
ที่ยกมาคุย อย่าเข้าใจผิด ว่าผมจะมาต้าน-มาค้านการห้ามมี-ห้ามใช้
เลิก-ก็เลิก เมื่อเกษตรฯ, อุตสาหกรรม, สาธารณสุข ลงมติ “ห้ามใช้-ห้ามมี” พาราควอต คลอร์ไพริฟอส ประกาศเป็นกฎหมายแล้ว ก็ต้องเป็นตามนั้น
และผมก็หรี่หูฟังมาตลอดว่า……
เมื่อ “ห้ามมี-ห้ามใช้” แล้ว มีวัตถุอันตรายตัวไหนล่ะ ที่รัฐบาลสรรหามาให้ชาวไร่/ชาวนา/ชาวสวน ใช้แทน ๒ ตัวที่ยกเลิกไป
โดยวัตถุอันตรายที่นำมาทดแทนนั้น เมื่อตรวจหาสารพิษตามพืช, ผัก, ผลไม้ ต่างๆนานาแล้ว
“สารตกค้างต้องเป็น 0”
“ต้องเป็น 0” ตามความหมายของ “วัตถุอันตรายทางการเกษตร ชนิดที่ ๔” ของไทย ก็คือ
“ต้องไม่มีสารตกค้างปนเปื้อนอยู่เลย”!
เหนือกว่ามาตรฐาน Codex ที่องค์การการค้าโลก (WTO) และองค์การอาหารและการเกษตรฯ (FAO) กำหนดซะอีก
มาตรฐาน Codex ก็คือ….. “ระดับปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุดที่ยอมรับได้ในอาหารมนุษย์และอาหารสัตว์”
มีหน่วยเป็น “มิลลิกรัมสารพิษตกค้าง/กิโลกรัมสินค้าเกษตร” โดยคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร เป็นผู้กำหนด
แต่กฏหมายไทยขณะนี้ กำหนดไว้เหนือมาตรฐานโลก……..
สินค้าเกษตร จะส่งออก-นำเข้า ต้องปลอดสารตกค้าง ๑๐๐%
ฟังดูเท่ “ทางคำสั่ง” มาก
แต่เมื่อดู “ทางปฏิบัติ” ที่เป็นจริง จากเท่ กลายเป็นทุเรศ มันเป็นคำสั่ง สักแต่ว่าสั่ง ไม่คำนึงถึงความเป็นจริงทั้งทางปฏิบัติ ทั้งทางกลไกธุรกิจการค้า
ถ้าในช่วง ๕-๖ วัน ก่อนถึงมิถุนา.ไม่แก้ไขปัญหาดังที่ผมมองเห็นดังจะกล่าวต่อไป รับรอง เมื่อมีผลบังคับใช้ทางกฎหมายแล้ว
ไม่อยากใช้คำว่าวินาศสันตะโร…..
แต่จะเดือดร้อน วุ่นวาย ไล่ตามแก้แต่ละเรื่อง แต่ละจุด เสียเวลา เสียความรู้สึก เสียโอกาสทั้งทางทำมาหากินชาวบ้าน
ที่สำคัญ ธุรกิจอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องสินค้าเกษตร มันจะเป็นปัญหาย้อนศร
ถึงตอนจะรวย แทนที่จะรวยจากเกษตร กลับต้องซวย เพราะบริหารกันสักแต่มีอำนาจสั่ง และที่สั่ง แทนจะเป็นคุณ กลับเป็นโทษ
ไม่รู้จะบอกใคร ก็ต้องลงที่ท่าน “นายกฯประยุทธ์” นั่นแหละ
ประเด็นแรก เกษตรกร ชาวไร่-ชาวนา-ชาวสวน ใครยังมีพาราควอต, คลอรไพริฟอสเหลือติดบ้าน ไม่ต่างซุกซ่อนยาเสพติดไว้ในบ้าน
ถึงคุก!
พ่อค้า, บริษัท, ห้างร้าน ใครยังมีสาร ๒ ตัวนั้นเหลือในสต็อก หรือสินค้าอยู่ระหว่างเดินทางเข้ามาจากสั่งซื้อ
นอกจากเจ๊งแล้ว ยังจะติดคุก ฐานมีหรือนำเข้าสารพิษ!
นี่ยังไม่เท่าไหร่…….
จากกฎหมาย ว่าด้วยวัตถุอันตรายทางการเกษตร ชนิดที่ ๔ ยังหมายไปถึงว่า
วันที่ ๑ มิย.เป็นต้นไป เอาเฉพาะพืชที่ไทยต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เพราะผลิตเองไม่ได้/ไม่พอ
นั่นคือ ถั่วเหลืองและข้าวสาลี!
มันเป็นวัตถุดิบหลักและจำเป็นในอุตสาหกรรมแปรรูป อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ ตลอดถึงอาหาร, ขนม
เรียกว่าสารพัด ที่มี ที่ใช้ ที่กิน ที่ขาย ที่ส่งออก ต้องใช้ถั่วเหลืองและข้าวสาลีเป็นวัตถุดิบตั้งต้นแทบทั้งนั้น
ประเด็นก็คือ ในต่างประเทศ …….
เขาใช้พาราควอต กำจัดวัชพืช และใช้คอลร์ไพริฟอส จำกัดสัตรูพืช ทั้งนั้น
นั่นคือ ทั้งข้าวสาลี ถั่วเหลืองนำเข้า ล้วนมีสารพิษปนเปื้อนตามมาตรฐาน Codex ทั้งนั้น
ในเมื่อสารทั้ง ๒ ตั้วนั้น เป็นวัตถุอันตรายทางการเกษตร ชนิดที่ ๔ ตามกฎหมาย ที่บังคับใช้ ๑ มิย.นี้
ก็ยุ่งซี เมื่อนำเข้าถั่วเหลือง-ข้าวสาลีไม่ได้….
แล้วบะหมี่สำเร็จรูป อาหารกระป่อง เช่นปลาทูน่า เนื้อสัตว์ทั้งสด/แช่แข็ง ซอสปรุงรส ขนมปัง น้ำมั่นถั่วเหลือง ขนม อาหารชุบแป้ง อาหารสัตว์ อาหารแปรรูปต่างๆ กระทั่งซาละเปา และฯลฯ
เจ๊งหมด!
เมื่อกิจการเหล่านี้ขาดวัตถุดิบ ธุรกิจเดินไม่ได้ แรงงานในวงจรนี้กว่า ๑๐ ล้านคนแน่ๆ “ว่างงาน”
ความเสียหายด้านอาหารคน, อาหารสัตว์, อุตสาหกรรมต่อเนื่อง ประเมินกันแล้ว เฉียด ๒ ล้านล้านบาทต่อปี!
นี่เพราะ สักแต่ “ออกประกาศ-ออกคำสั่ง”
สารพิษนั้น เลิกได้ จะออกมาตรการอะไรก็ออกได้ แต่ก่อนเลิก-ก่อนออก
ต้อง “อุดรูรั่ว” ให้เรียบร้อยก่อน เช่น หาสารเคมีมาให้ชาวไร่/ชาวสวนซื้อหาแทนสารที่ห้ามใช้ก่อน
ที่ยังเหลือ อนุโลมให้ใช้จนหมดภายใน ๑ ปี หรือไม่ก็รับซื้อคืน ไม่ใช่ด้วยโมหะแห่งอำนาจ ประกาศปุ๊บ ของถูกกลายเป็นของผิด กูจับอย่างเดียว
การค้าก็เหมือนกัน ธุรกิจซื้อ-ขายระหว่างประเทศ เทอมเวลาการค้าว่าเขากันเป็นปีๆ
แทนที่ภาครัฐจะคิดคำนึง……
กลับเป็นว่า…ไม่รู้ กูมีหน้าที่สั่ง สั่งปุ๊บ ของถูกกลายเป็นของเถื่อนตั้งแต่อยู่ในท้องเรือขนส่งสินค้า นั่นรื่องมึง กูไม่รับรู้ด้วย
อย่างนี้เสียครับ เสียมากด้วย!
ถ้าไม่รีบแก้ไข ไม่ได้หมายถึงให้กลับไปใช้สารอันตราย แต่หมายถึง ความเป็นจริงทางบริหารและปกครอง กับของจำเป็นต้องใช้
เมื่อให้เขาเลิกใช้อย่างหนึ่ง ก็ต้องหาอีกอย่างมาทดแทนให้เขาใช้ แต่ก็ไม่หา-ไม่มี
จากของที่รัฐบาลบอกให้ใช้ มาอีกวันบอกไม่ให้ใช้ แล้วประกาศหน้าตาเฉย ที่เอ็งมีอยู่ ถือเป็นของผิดกฎหมาย
แบบนี้อันธพาลทำ ไม่ใช่รัฐบาลบริหาร
การสักแต่ว่า กูจะเอา-กูจะประกาศ โดยไม่ดูกฎหมายที่เชื่อมโยงถึงกันว่า มันขัดแย้งเป็นโทษ หรือสอดคล้องเป็นคุณ ผลเสียตกกับส่วนรวมมหาศาล
โลกเป็นจริงทางเกษตรปัจจุบัน มีมั้ย ที่สารตกค้างเป็นศูนย์?
ขนาดมาตรฐานโลก ด้วย WTO และ FAO ยังกำหนดให้มีสารตกค้างได้ ระดับมิลลิกรัม/กิโลกรัมสินค้าเกษตร
แล้วนี่ เกษตร-อุตสาหกรรม-สาธารณสุข มีมติ เป็นประกาศเปรี้ยงปร้าง โดยไม่คิดให้รอบคอบว่า
ด้วยมาตรฐานเทวดาไทย เราจะไปซื้อ-ไปขายกับเขาได้อย่างไร เช่น ถั่วเหลือง ข้าวสาลี
ในเมื่อต่างประเทศใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร ชนิดที่ ๔ เพาะปลูก มีสารตกค้างตามมาตรฐาน Codex ทั้งนั้น กฎหมายไทยบอก ไม่ได้…ต้องเป็นศูนย์
ก็หมายความว่า………
จาก ๑ มิย.ไป นำเข้าถั่วเหลือง/ข้าวสาลีไม่ได้ ใครสั่ง ผิดกฎหมาย คุกไม่เกิน ๑๐ ปี!
ยังไม่พูดถึง ชาวไร่/ชาวนา/ชาวสวน ทั่วไป คำนึงถึงเขามั้ย ว่าเขาจะใช้อะไรในการเพาะปลูก หรือมีใครแอบตั้งโรงงานทำสารเคมีทดแทนไว้แล้ว?
ถ้าดีจริง ปราบวัชพืชได้ ปราบศัตรูพืชได้จริง โดยสารตกค้างเป็น 0 ก็ไม่ต้องกระมิด-กระเมี้ยน โผล่หน้ามาเลย
ครับ…..
นี่ไม่ใช่ปัญหาโลกแตก แต่เป็นปัญหาซ่อนเงื่อนหาแหลกของใครหรือเปล่าก็ไม่รู้?
แต่เห็นมันจะเป็น “ปัญหาประเทศ” ก็เลยกราบเรียนให้ท่านนายกฯ ได้เดือดร้อนอีกซักครั้ง!
LineID:plewseengern.com
สารพวกนี้เมื่อลงดินแล้ว stern คือกลายเป็น organic นะคะ
คนต้นคิดทำกฎหมายห้ามเพื่อผลทางการค้า คือถึงฤดูแล้งหญ้าก็ตายเอง สารพวกนี้ก็ขายไม่ดี ทีนี้จะทำไง อ้าวก็ส่งมาขายประเทศที่ evergreen สิคะ แล้วก็ออกกฏแบบ BOIของเรา ทำเพื่อส่งออกเท่านั้น
ประเด็นแค่นี้เอง คนที่งัดเรื่องนี้มาพูดแล้วพูดอีก ยังขูดรีดนักธุรกิจสายเกษตรไม่พอใช่ไหมคะ อ้างประเทศต้นทางไม่ให้ใช้ก็เค้าจะใช้ทำไมละในเมื่อทำเกษตรตลอดปีไม่ได้ รง. อยากลดทนสินค้าขอยกเว้นภาษีก็เลยทำเพื่อส่งออก แบบเราทำหน้ากากอนามัยเพื่อส่งออก เป็นประเด็นจน อธิบดีกรมการค้าภายในต้องย้ายไปแขวน โควิดมาใหม่ๆ ทุกคนงุนงง
พราราคอต ลงดินแล้ว stern แต่เอาไปกินฆ่าตัวตายได้เหมือนน้ำยาขัดห้องน้ำนะคะ
แล้วก็นำเรื่องการตกค้างมาอ้างไว้ เผื่อปกป้องสินค้าตัวเองที่ผลิตได้น้อย ราคาจะต่ำ
จึงเห็นได้ชัดว่า เป็นกำแพงการค้าที่ไมาใช่ภาษี แบบเดียวกับ ISO ,GPM/PICS, etc.
กรรมการ codex ก็พวกเค้าทั้งนั้น ทำให้เราต้องส่งเอกสารรับรองการส่งออกเพิ่มขึ้นอีกใบนึงนะคะ
ทำไมเราจะทำให้ สารตกค้างเป็น 0 ไม่ได้คะ อย่าดูแพงเกษตรกรไทยสิคะ
นี่ไม่ต้องห้ามใช้ แล้วมาพิสูจน์กันเองว่า สารตกค้างเป็น 0 ไหมคะ หา LAB เจ๋งๆ ที่ accredit แบบ iso17025 หรือ lab Harvard (ที่เคารพ) มีข้อมูลดิบ มากางคุยกันไม่ต้องเอานักสถิติ วิเคาระห์เลยค่ะ เพราะข้อมูลมันกระจอกพอที่เกษตรกรชาวไทย และชาวไทย ธรรมดา อ่านเฉยๆก็เข้าใจได้
ขอถามแบบโง่โง่สักหน่อย เวลาเราขัดห้องน้ำด้วยน้ำยากัดสิ่งสกปรกเสร็จแล้ว ทีนี้เวลาเราเข้าไปอาบน้ำ เราพิสูจน์ได้อย่างไรว่าห้องน้ำนี้ไม่มีสารกัดกร่อน เหลือไว้มากัดผิวเรา
….เบื่อประพาราคอตเต็มทน
ต่อไปนี้ใครหยิยยก ประเด็นนี้มาพูดอีกดิฉันจะไม่ตอบโต้ เชิญเล่นกันตามสบาย
ประเทศไทยไม่ใช่ของดิฉันคนเดียว ประเทศไทยเป็นของคนไทยทุกคน