ผศ.ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความเห็นต่อการหารือระหว่าง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีของไทย กับ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เกี่ยวกับข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา โดยระบุว่า คำอธิบายทั้ง 11 ข้อที่นายกรัฐมนตรีชี้แจงต่อผู้นำสหรัฐฯ นั้น “ครอบคลุมและมีน้ำหนักในฐานะผู้นำประเทศ ที่ต้องปกป้องศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของชาติอย่างที่สุด”
ผศ.ดร.วันวิชิต ย้ำว่า หากนายกรัฐมนตรี “ยอมลดท่าที” ย่อมเสี่ยงต่อแรงกดดันมหาศาลจากสังคม เพราะประชาชนผู้รักชาติย่อมตั้งคำถามว่า เหตุใดไทยซึ่งเป็นฝ่ายเสียหาย จึงต้องยอมถอยให้กับสหรัฐฯ พร้อมระบุว่า
“ถ้านายกรัฐมนตรีเลือกที่จะยอม ผมเชื่อว่าท่านอาจไม่สามารถตอบคำถามประชาชนได้ว่า ทำไมต้องยอม ทั้งที่เรามีหลักฐานชัดเจนว่ากัมพูชาละเมิดก่อน”
นักวิชาการยังชี้ว่า ไทยมีพยานหลักฐานเพียงพอที่ยืนยันได้ว่ากัมพูชาละเมิดปฏิญญาก่อน ซึ่งเป็นต้นตอของความตึงเครียด จึงเป็นเหตุผลที่ไทยต้องแสดงจุดยืนเข้มแข็ง ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ควร “วางตัวเป็นกลาง” และรับฟังข้อเท็จจริงจากทั้งสองฝ่าย
ผศ.ดร.วันวิชิต ระบุว่า การแสดงท่าทีเด็ดขาดของนายกรัฐมนตรีที่ประกาศ “ระงับข้อตกลง” ไม่ได้เกิดจากความเกรี้ยวกราดโดยไร้เหตุผล แต่เป็นการทำให้ประชาคมโลกเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย และเหตุใดไทยต้องยกระดับท่าทีให้เด็ดขาดเช่นนี้
“ไทยไม่ได้ต้องการสงคราม ไทยรักสงบ แต่ไม่เคยยอมให้ใครรังแกก่อน การยืนหยัดเพื่อศักดิ์ศรีในครั้งนี้ ผมเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่สนับสนุน”
นอกจากนี้ยังชี้ว่า การที่นายกรัฐมนตรีส่งสัญญาณว่าไม่ได้กังวล หากสหรัฐฯ จะมีการใช้ มาตรการภาษีและเครื่องมือกดดันทางเศรษฐกิจ หลังไทยระงับปฏิญญา ถือเป็นการวางจุดยืนเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองของไทย ซึ่งไม่เกินความคาดหมาย เพราะที่สุด ต้องยืนยันในเกียรติของชาติ สำคัญสูงสุด ทั้งนี้ รัฐบาล น่าจะมีการเตรียมการแล้ว ว่า จะทำอย่างไร หากถูกกดดันทางการค้าจริงๆ พร้อมสรุปว่า ความชัดเจนในจุดยืนเช่นนี้ คือสิ่งที่ผู้นำพึงกระทำ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อประชาคมโลก.
