เปลว สีเงิน
มันเป็น “ความสุขอย่างหนึ่ง” ของคน “บางจำพวก”
ที่ได้อาศัย “ความทุกข์” ชาวบ้าน
จากน้ำท่วมหาดใหญ่และหลายๆ จังหวัดในภาคใต้ ยกเป็นเหตุ ขยี้ขยำ ตำกระทืบ “นายกฯอนุทิน”
“ห่วย…ล้มเหลว…ผิดพลาด..ไม่ทันการณ์..บริหารไม่เป็น”
ยิ่งนายกฯ ตากฝน ลุยน้ำ ย่ำโคลน อยู่หน้างาน ชาวบ้านจะด่า-หมาในคอกจะเห่าขนาดไหน
ท่านก็ไม่หนี ไม่โต้เถียง กลับมะลอก-มะแลก ไปยืนให้ด่า ด่าจบ ท่านก็บอกว่า
ทั้งหมดนี้… “ขอโทษ ผมผิดเอง”!
ความจริงแล้ว ด้วยจิตใต้สำนึกมนุษย์ ทุกคนรู้อยู่กับใจ ว่าหาดใหญ่มันอยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานใด และความผิดพลาดนี้ ใครควรแสดงความรับผิดชอบ?
แต่ด้วยความโกรธเฉพาะหน้า ที่ความช่วยเหลือมาไม่ทัน ต้องลอยคออยู่ในน้ำ อยู่บนหลังคาบ้าน เป็นวัน-เป็นคืน
น้ำไม่มีดื่ม ข้าวปลาไม่มีกิน
คนป่วยติดเตียงแสนจะทุกขเวทนา หลายชีวิตต้องดับสิ้นไปต่อหน้าต่อตา!
มันก็เป็นธรรมดา ที่ชาวบ้านต้องหาใครซักคนเป็นที่ระบายความโกรธ เป็นที่โทษ
ที่เต็มเขี้ยว-เต็มคำ เป็นใครไปไม่ได้ นอกจากนายกรัฐมนตรี
“นายกฯอนุทิน” จึงโชคดี
ได้รับการรุมสวด “ยะถา-สัพพี” เป็นการเจริญพร จากพี่น้องหาดใหญ่ “เป็นโชค-เป็นชัย” ส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่
นายกฯอนุทิน ได้ชื่อว่ารับการ “ไถ่บาป” จากผู้ประสบมหาอุทกภัยแล้ว
ตอนนี้ เมื่อได้ระบายหายอัดอกกันแล้ว….
บวกกับสถานการณ์ค่อยดีขึ้น ชาวบ้านสติก็มา-อารมณ์จึงคลาย
ก็สะดุดใจ… “เฮ้ย..อะไรวะ ชี้หน้าด่าขนาดนี้….
เป็นนายกฯ คนอื่น มีหวังเราถูกพวก “กะพรวนตีน” ลากไปกระทืบแล้ว
แต่นายกฯ คนนี้ ทั้งที่ผิดนี้ มิใช่ผิดของท่านโดยตรง แต่ท่านกลับขอโทษ บอก ผมผิดเอง”!?
“ใจเหนือใจ” ของนายกฯ
ตอนนี้ จึง “ได้ใจ” คนใต้ไปเป็นพะเรอ สังเกตได้ จากปฎิกริยาวันแรกๆ ที่นายกฯลงไป
จะเห็น “ความเป็นมิตร” จากชาวบ้านค่อนข้างเจือจาง
แต่เมื่อยิ่งด่า นายกฯยิ่งลงไปเผชิญหน้าแทบทุกวัน“ ความจริงใจ” ของนายกฯก็ “ละลายเส้นกั้น” ในใจคนหาดใหญ่ขาดผึง
จนตอนนี้ ชาวหาดใหญ่กับนายกฯ
เป็น “คนกันเอง” ไปแล้ว!
คนใต้ รักใคร-รักจริง, เกลียดใคร-เกลียดจริง
เขาจึงพูดกันว่า “คนใต้คบยาก” แต่ถ้าได้คบกันแล้ว “หย่าเมีย” ง่ายกว่า “หย่าเพื่อน”!
โลกวันนี้ ที่ล้นเกิน คือ “เงินกับวัตถุ”
และ “มหาวิบัติ” ที่กำลังจะเกิดกับโลกอีกในไม่ช้า เพราะโลกขาดสิ่งหนึ่งหล่อเลี้ยง คือ “น้ำใจ”!?
ทั่วทุกมุมโลก “หาได้ยาก” ยกเว้นที่ “ประเทศไทย” ฉะนั้น คนไทยขอให้มีสติและดำรงวิถีน้ำใจไว้
ไทยจะรอดและเป็น “สวรรค์บนดิน” ที่คนพอมีวาสนาจะได้มาอาศัยอยู่กิน คนเลวจัญไร อัปรีย์ชาติ อสัตย์ชน ต่อให้โกงจนรวยล้นฟ้า
ก็ถึงเวลาจะถูก “กังหันนรก” หมุนบั่นบนหัว!
อ่านนี่กันซักนิดซิ เผื่อเป็น “อนุสติ” แล้วมงคลเจริญสุขจะเกิดกับตัว
FM91 Trafficpro
วันนี้ มีเรื่องประทับใจจะมาเล่า มีผู้อพยพคนหนึ่งกำลังจะกลับบ้าน แกเห็น “จิตอาสา” กำลังทำงานอยู่
เลยเดินนำกระดาษใบหนึ่งมาให้จิตอาสาดู ในกระดาษมีข้อความว่า
“ขอบคุณที่ช่วยเหลือทั้งที่พัก อาหาร ของใช้จำเป็น ขอบคุณที่ดูแลเราเป็นอย่างดี ขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณจากใจจริงๆ”
หลังจากพวกเราได้ดูกระดาษแผ่นนี้ ก็น้ำตาไหล
รู้สึก “มีกำลังใจ” ต่อในการทำ “จิตอาสา” ครังนี้ สุดท้าย ขอให้ทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ให้ทุกคนสู้ๆ แล้วทุกอย่างมันจะดีขึ้น
เราในฐานะ “จิตอาสา ม.อ.”
ที่จัดทำโดย “นักศึกษา บุคคลากร และผู้บริหาร” อยากบอกว่า
“เราขอบคุณมากๆ ที่ทุกคนได้รับความอบอุ่นจากพื้นที่แห่งนี้”
สุดท้าย เราขอสัญญา ว่า
พสกเราจะทำตามปณิธานดั่งข้อความที่ว่า……
“ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง”
ที่มา “องค์การบริหาร องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่”
…………………………………………….
ผมอยาก “เตือนสติ” ทุกคนด้วยเคารพ ว่า
เราอย่า “คิดแคบ-มองแคบ” แล้วฉกฉวยปัญหาบ้านเมืองเป็นอาวุธทิ่มแทง/แย่งอำนาจในการเมืองกันไปนักเลย
มันน่าละอายในความละโมภบนความโง่เขลานัก!
มัวจดจ่อกันอยู่แค่…..
๑.ล้มรัฐบาล-ล้มนายกฯ ๒.ฉีกรัฐธรรมนูญ-เขียนฉบับใหม่
แท้จริงแล้ว สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้
พันกับ “สถานการณ์โลก” โดยที่ประเทศไทยถูกเหนี่ยว-ถูกดึงเข้าไปอยู่ในสมการ “อำนาจเปลี่ยนโลก”
โดยที่พวกเราหาได้ตระหนักถึงไม่แม้แต่น้อย!
รัฐบาลเสียงข้างน้อยที่มีอายุ ๔ เดือน และผ่านไปแล้ว ๒ เดือน ไม่จำเป็นต้องนับวันไล่ นับวันแช่ง นับวันด่า กันหรอก
รู้ไว้เถอะ ๒ เดือนนี้ รัฐบาลอนุทิน “ไม่มีใครสนุกเลย”
เพราะทั้ง “ใต้ดิน-บนดิน” มันหนักหนาสาหัส ใช่ว่าจะมาแบกตำแหน่งแล้วนอนพุงอืดกันได้สบายๆ
เฉพาะหน้า การกู้เมือง-กู้เศรษฐกิจหาดใหญ่-แดนใต้ ทั้งนายกฯ รัฐมนตรีคลัง-คุณเอกนิติ, รัฐมนตรีพาณิชย์ คุณศุภจี และกองทัพ
ต้องสวมวิญญานเทวดา “๑๕ วัน” ต้องเนรมิตหาดใหญ่กลับคืนในสภาพเดิม!
แล้ว “ท่านสีหศักดิ์ พวงเกตแก้ว” รัฐมนตรีต่างประเทศหายไปทางไหน?
ก็ไปทำ “สงครามการทูต” อยู่ที่เจนีวา ตอนนี้
และนี่แหละ เป็นครั้งแรกของไทย ที่รัฐบาลอนุทินเอาจริงกับเขมรบนเวทีโลก เป็นรูปธรรม
วานซืน ท่านสีหศักดิ์ไปอินเดีย ไปบอกกล่าวเล่าขานว่าเหตุใดไทยจึงจำเป็นต้องระงับ “สัญญาสันติภาพ” ไทย-เขมร ที่ลงนามกันที่มาเลย์ฯ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “กรณีล่าสุด” มีชาวจีนเหยียบทุ่นระเบิดเจ็บสาหัส ขณะลักลอบเข้าไทยผ่านช่องทางธรรมชาติ
เมื่อทำความเข้าใจกับอินเดียแล้ว ท่านสีหศักดิ์ก็เดินทางไปร่วมประชุม “รัฐภาคี” ว่าด้วย “อนุสัญญาออตตาวา” ที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์
เบื้องต้น ไทยรายงานเหตุการณ์ที่ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดไปแล้ว ที่ท่านสีหศักดิ์เดินทางไปร่วมประชุมครั้งนี้ ก็จะไปให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ล่าสุด
เพราะหลังจากที่ไทยได้รายงานไปแล้ว …..
“เขมรยังหลบหลีกในการตอบคำถาม ที่ไทยสอบถามไป”
ดังนั้น ไทยจะเสนอต่อที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา
ให้ตั้ง “คณะตรวจสอบข้อเท็จจริงที่มีความเป็นอิสระ”
เพื่อลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและป้องกันกัมพูชาหลบเลี่ยงการชี้แจงข้อเท็จจริง
ส่วน คณะกรรมการจะมีใครบ้างนั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของที่ประชุมรัฐภาคี
ท่านสีหศักดิ์ยังได้ให้สัมภาษณ์ “นิกเคอิ เอเชีย” เมื่อ ๑ ธ.ค.ว่า ไทยยกระดับการต่อสู้ “ทางการทูต” กับเขมร
เกี่ยวกับทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนที่เป็นข้อพิพาท ด้วยการเรียกร้องให้
จัดตั้ง “คณะผู้แทนตรวจสอบข้อเท็จจริง” ขึ้นครั้งแรก
ภายใต้ “สนธิสัญญาระหว่างประเทศ” ว่าด้วยการใช้อาวุธทุ่นระเบิดดังกล่าว
“รัฐบาลจะใช้จุดยืนที่แข็งกร้าวดังกล่าวกับเขมร แม้ว่าการกระทำดังกล่าวอาจยิ่งทำให้ความสัมพันธ์กับรัฐบาลสหรัฐฯตึงเครียดมากขึ้นก็ตาม”
ซึ่งสหรัฐฯระงับการเจรจาการค้ากับไทย หลังจากไทยระงับการบังคับใช้ข้อตกลงที่สหรัฐฯเป็นผู้ประสานงาน
เพื่อยุติข้อพิพาทชายแดนระหว่างไทยและเขมรที่ดำเนินมายาวนานนับศตวรรษ
ภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดมีขั้นตอนที่สามารถจัดตั้ง “คณะผู้แทนตรวจสอบข้อเท็จจริง
และเรากำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดตั้ง” ท่านสีหศักดิ์กล่าว
“จะเป็นคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เป็นกลางและเป็นอิสระเพื่อสร้างข้อเท็จจริงขึ้นมา”
นับเป็นความพยายามของไทยในการสำรวจเส้นทางการทูตที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ซึ่งปรากฏอยู่ภายใต้ข้อ ๘ ว่าด้วยการ “ห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ๑๙๙๗ และการทำลายทุ่นระเบิด”
“หากเขมรไม่รับผิดชอบต่อการวางทุ่นระเบิดใหม่ เราจะนำเรื่องนี้ไปสู่ประชาคมระหว่างประเทศ”
ซึ่งจะนำ “คณะผู้แทนไทย” เข้าร่วมการประชุมประจำปีของ “รัฐภาคีอนุสัญญา” ซึ่งรู้จักกันในชื่อ “สนธิสัญญาห้ามทุ่นระเบิด” หรือ “อนุสัญญาออตตาวา”
การประชุมจะเริ่ม ๑-๕ ธันวา.ที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์
การผลักดันให้จัดตั้ง “คณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงระหว่างประเทศ” ครั้งนี้
เป็น “ครั้งแรก” ในรอบ ๒๗ ปี ตั้งแต่มี “สนธิสัญญาห้ามทุ่นระเบิด” ที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง จะเรียกร้องให้มีคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เป็นอิสระ …..ฯลฯ
นี่แสดงให้เห็นว่า “รัฐบาลอนุทิน” แบ่งกำลังกันไปทำงาน โดยไม่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องใด-เรื่องหนึ่ง
ปัญหาวิกฤตเฉพาะหน้า “ภายใน” นายกฯ รมว.คลัง รมว.พาณิชย์ ก็แก้กันไป
ปัญหา “ภายนอก” วิกฤตชายแดนไทย-เขมร รัฐมนตรีสีหศักดิ์ สมช.และกองทัพ ก็เดินแต้ม-เดินเกม ทั้งในเวทีโลกและทั้งในพื้นที่ ซึ่งเขม็งเกลียว พร้อมปะทุเปรี้ยงทุกเวลา
ดูภาวะเร่งด่วนของประเทศแล้ว เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ-เรื่องทำประชามติ ไม่ใช่เรื่องประโยชน์ชาติ-ประโยชน์ประชาชนที่จำเป็นเลย
เอาเงิน ๑๔,๐๐๐ ล้านบาท ที่จะใช้ทำประชามติเพื่อเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ปูทาง “ล่มชาติ-ล้มสถาบัน” นั้น
ไปช่วยชาวบ้านน้ำท่วมและฟื้นฟูเมืองหาดใหญ่ มีประโยชน์กว่าเอาไปให้หมาแดก
แค่ทำ “ประชามติ” ก็คว่ำแล้ว เชื่อหัวไอ้เรืองเต๊อะ!
เปลว สีเงิน
๓ ธันวาคม ๒๕๖๘

