บ้านเมืองภาวะ”ปลาร้า”

วันเสาร์ที่ปลายซอย

 

 

บ้านเมืองภาวะ“ปลาร้า”

 

ความเป็นไปในบ้านเมืองตอนนี้

เป็นความบันเทิงที่ตามดูได้

แต่ไม่ต้องอิน เพราะอินแล้วจะทำให้เครียด นอกจากเสียสุภาพจิตแล้ว เครียดยังทำให้อ้วน

เพราะยิ่งเครียด-ยิ่งกินจุ!

เรื่องกินนั้น พระท่านสอนว่า ต้อง“โภชะเนมัตตัญญุตา”

คือ ต้อง“รู้จักประมาณในการกิน”

กินแต่พอดี กินแต่สิ่งไม่เป็นพิษ กินแบบมีสติ พอดำรงชีวิตสังขารอยู่ได้ ที่สำคัญ ต้อง“รู้จักพอ”ชีวิตจึงจะเป็นสุข ทั้งปัจจุบันและอนาคต

แต่ถ้ากินแบบโลภ แบบตะกละ แบบมูมมาก และกินไม่เลือก

บ้านเมืองก็จะกิน

ส่วยก็จะกิน ใต้โต๊ะ-บนโต๊ะ ก็จะกิน สินบาท-สินบน ก็จะกิน

ฉ้อราษฎร์-บังหลวง สารพัดรีดไถ ใช้ตำแหน่ง-อำนาจ ในความเป็นข้าราชการ ไปในทางผิดกฎหมาย บ่อนทำลายชาติบ้านเมือง ก็เอาทั้งนั้น

แม้รู้ว่านั่นเป็น“อาหารพิษ”

แต่ด้วยจิตโลภบังสติ ทำให้ไม่นึกถึงเรื่อง“บุญ-บาป”อันเป็นส่วนของกรรมที่ตนกระทำด้วยการกินวันนี้

แล้วบุญ-บาปที่ทำนั้น…..

ไม่วันใด-วันหนึ่ง “ยัง กัมมัง กะริสสันติ”คือไม่ว่าส่วนบุญหรือส่วนบาปที่ทำนั้น  ก็จะส่งผลมาถึงตัว

ถ้าไม่โกง ไม่คอรัปชั่น ด้วยกลัวบาป นั่นเป็น“กุศลกรรม”ชีวิตทั้งปัจจุบันและอนาคต ก็จะเป็นสุข

ถ้า ปะ-ฉะ-ดะ“ทุจริต-คอรัปชั่น”ทุกชนิดไม่มีเว้น กระทั่งขายบ้าน-ขายเมืองก็ยังเอา เรียกว่ามีอะไรผ่านหน้า“แดกหมด”กระทั่งในคุก ก็ยังหาช่องแดกจนได้

ข้าราชการ-ตำรวจ-ทหาร-นักการเมือง คนจำพวกนี้ ปัจจุบันอาจร่ำรวยจากเงินทุจริตผิดกฎหมาย ขายชาติ-ขายแผ่นดิน

แต่บั้นปลาย…ไม่เห็นรอด“เงื้อมมือแห่งกรรม”ไปได้ซักราย!

ถ้าไม่ตายแบบทุเรศ-ทุรัง ก็ถูกขังคุก

ถ้าเป็นโรคก็จะรักษาไม่หาย ต้องทนทุกข์ทรมานไปจนกว่าจะตายแบบทรมาน

ส่วนทรัพย์สมบัติที่โกงได้มา คนในครอบครัว เปิบข้าวแต่ละคำ ดื่มน้ำแต่ละอึก เหมือนดื่มกินคำสาปแช่งและน้ำกรดพิษ จากเงินทุจริตที่“ต้นตระกูล”โกงได้มา

ต่อให้รวยล้นฟ้า ครอบครัวจะหาความสุขไม่ได้ จะมีแต่เรื่องทุกข์ร้อนทั้งกายและใจทับถมเข้ามา และต้องพินาศ-วอดวายหมดไป ภายใน ๓ ชั่วรุ่น!

ที่ผมนำมาพูดเช่นนี้ ก็อย่างที่เคยคุยกันมาเป็นปีๆแล้วว่า บ้านเมืองไทยเข้าสู่วาระ“ลอกคราบประเทศ”แล้ว!

และตอนนี้อยู่ในช่วง ที่แต่ละคนต้องถูกตรวจสอบบัญชีกรรมที่พร้อมชำระกันแล้ว

ใครที่ในบัญชี มีแต่ตัวเลขบุญ คือประกอบแต่กรรมดี นับจากนี้ไป จนถึงปี ๒๕๗๓-๗๔ ชีวิตจะแฮปปี้สุดๆ

ส่วนใครที่ในบัญชี มีแต่ตัวเลขบาป ทุจริต-คอรัปชั่น,โกงบ้าน-กินเมือง หรือถึงขั้น เปิดประตูเมือง หวังให้สัตรูต่างชาติเข้ามาเป็นเจ้าเข้าครอง

นับจากนี้ไป ความวิบัติ-ฉิบหาย แตกแยก ทะเลาะ-ทำลายจะเกิดขึ้นกับพวก“ทุจริตคิดไม่ดี”กับบ้าน-กับเมือง เป็นที่หวังได้!

เพราะอย่างนี้ ผมจึงบอกว่า ความเป็นไปในบ้านเมือง“เป็นความบันเทิง”ที่พวกเราควรตามดู

ดังคำว่า…

”สูทั้งหลาย จงมาดูโลกนี้อันตระการดุจราชรถ ที่พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่”ประมาณนั้น

ฉะนั้น ตามดูโดยไม่ต้องเครียด”!

ก็เพราะเป็นช่วง“ชำระบิลกรรม”นั่นแหละ ความชั่วร้ายในวงราชการที่หมกๆกันไว้ จึงถึงคราวชำระด้วยการให้“ลากไส้”กันเอง

ทั้งในวงการตำรวจ วงการการเมือง วงการข้าราชการ มึงสาวกู-กูสาวมึง เจ้าตำรา“ไก่เห็นตีนงู-งูเห็นนมไก่”กูชั่ว มึงก็ต้องเลวด้วย ทำนองนั้น

“พลเมืองดี”หรือที่เรียกกันว่า“นักร้อง”ตอนนี้ ช่วยชาติได้ดีมาก เดือดร้อนไปถึงองค์กรอิสระหลายๆแห่ง ที่ชอบหมกคดี ถูกนักร้องเอาไม้แยงตูดให้ขยับ

ไอ้ที่ขยับ แต่ขยับแบบเอียงๆ ก็ถูกเพ่งเล็ง ตอนนี้ชักตัวเกร็ง เพราะบ้านเมืองมันพ้นยุคนโยบาย“โกงเอามาแบ่งกันไม่เป็นไร”ไปแล้ว!

วงการเมือง สู่ยุค“โจรปราบโจร”

วงการตำรวจ สู่ยุค“ตำรวจลากไส้ตำรวจ”

วงการราชทัณฑ์ สู่ยุค“เปลี่ยนคุกเป็นฮาเร็ม”

วงการข้าราชการ สู่ยุค“ต้องแม่นในการเลือกข้าง”

วงการทหาร สู่ยุค“มั่นคงต้องมาก่อนบ่อนชายแดน”

ประชาชนเหมือนกัน สู่ยุค“เลิกเลือกเหี้ยเข้าสภาแทนคน”

ฉะนั้น อะไรก็ตาม…..

เมื่อถึงจุดเปลี่ยน ในภาครัฐ มันก็ต้องมี“ปฎิกริยา”พลุ่งพล่าน โค่นล้ม-หักล้าง เหมือนต้มน้ำบนเตาไฟ

พอถึงจุดเดือด มันจะมีเสียงร้องอี๋..อี๋ น้ำผุด ปุดๆๆๆ ก่อนเดือดพลุ่งพล่าน พลั่กๆๆๆๆ

นั่นละ ต่อจากนั้น มันจะแปรสภาพในทางก่อเกิดประโยชน์ เป็นกาแฟร้อนๆ ชาร้อนๆ ข้าวต้มร้อนๆ ไข่ลวกร้อนๆ น้ำอาบร้อนๆ น้ำล้างแผลสะอาดๆ

ในภาคประชาชน ก็จะเกิด“ปฎิกริยาควบแน่น”

จากที่แตกแยก-ไปในแต่ละความคิดเห็นและการกระทำที่หักล้าง-ทำลาย

ด้วยจิตใต้สำนึกสายเลือดไทยด้วยกัน ก็หันกลับมาสามัคคี รวมตัว-รวมใจ ควบแน่นเป็นหนึ่งเดียว เพื่อชาติบ้านเมืองของเรา”

ท่านล้วนท่องโลกออนไลน์กันแทบทั้งนั้น……

สังเกตจะเห็นภาพทหารที่ไปนอนไข่แช่น้ำเป็นเดือนๆอยู่ในป่าชายแดนกันใช่มั้ย?

โดยเฉพาะที่เขานำภาพในชุดพร้อมรบมาโพสต์ขอกำลังใจบ้าง กำลังบุกป่าผ่าดงกับระเบิดบ้าง กำลังนอนกลางดิน กินกลางป่า

จะเห็นว่า เป็น“คนรุ่นใหม่”อายุ ๑๘-๑๙-๒๐ ปีแทบทั้งนั้น

เขาเขียนบอกด้วยความภูมิใจว่า“สมัครมาทำหน้าที่ปกป้องชาติบ้านเมือง”

หน้าตา เป็นหนุ่มละอ่อน เป็นพระเอกยี่เก เป็นดาราโทรทัศน์ได้สบายๆ หรือจะเต้นบารโฮส ก็สะบึม แต่เขาเหล่านั้น“เลือกชาติ”แทนที่จะเลือก“ตัวเองสบาย”เห็นแล้วปลื้มจนขนลุก!

ไหน…ใครว่าคนรุ่นใหม่ไม่รักชาติ?

รุ่นใหม่ ต้องชู ๓ นิ้ว กระแนะ-กระแหนสถาบัน ด่าทหารว่ามีไว้ทำไม?

เอาเข้าจริง เลือดไทยรุ่นใหม่วันนี้ ไม่เป็นอย่างที่เห็นเมื่อ ๔-๕ ปีก่อน คนรุ่นใหม่วันนี้ ไฟรักชาติบ้านเมืองร้อนแรงถึงขั้น“ยอมตายเพื่อชาติต้องคงอยู่”

เขาทำให้เห็นจริง ใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน โดยไม่พูด-ไม่อวดซักคำ!

เห็นมั้ย นี่คือการ“ลอกคราบประเทศ”ถ้าสังเกตก็จะเห็นในความเป็นไป เมื่อมีเหตุปัจจัยเป็นจุดกระทบให้เขาเหล่านั้นแสดงถึง“ธาตุแท้เลือดไทย”ให้ประจักษ์

รุ่นใหม่ กำลังให้ประสบการณ์ในสนามรบหล่อหลอม“ความรักชาติบ้านเมือง”ให้เข้าไปอยู่ในสายเลือด เพื่อสืบต่อแผ่นดินไทยผืนนี้ให้ดำรงอยู่สืบๆไป

อย่างน้อยก็อีก ๒,๕๐๐ ปี!

ส่วนที่กัดกัน ด้วยแย่งผลประโยชน์กัน แย่งโกง-แย่งกิน-แย่งอำนาจบ้านเมืองกัน ที่เห็นในปัจจุบันนี้ เป็น“คนรุ่นเก่า”๔๐-๕๐-๖๐ ปีขึ้นไป แทบทั้งนั้น

ก็ให้มันกัดกัน ให้พวกเลวๆ พวกกังฉิน-กินเมือง ฉิบหาย-ตายโหง หรือไม่ก็เข้าคุกกันไปเร็วๆซะบ้าง

เพื่อให้คนที่พอแยกแยะดี-ชั่วได้บ้าง อยู่เพื่อช่วยกันแปงบ้าน-แปงเมือง พาชาติขึ้นจากหล่มทมิฬ

แล้วเข็นล้อ เฆี่ยนควาย ให้ชักลากประเทศไปสู่จุด“อารยวิไล”ภายใน ๓-๕ ปีข้างหน้า ให้จงสำเร็จ

เพื่อลูก-หลานของเราที่เป็น“คนรุ่นใหม่”ที่ได้สร้างปาฎิหาริย์เป็นคำตอบของคำถามผู้ใหญ่ที่ตายชนิดหมาเมิน ซึ่งได้สร้าง“วาทระยำ”ฝากไว้ว่า“ทหารมีไว้ทำไม?”

และวันนี้“คนรุ่นใหม่”ที่เขาหวังล้างสมอง

ได้ทำให้เห็นแทนคำตอบแล้วว่า“ทหารมีไว้ทำไม”?

ด้วยการแบกปืนไปนอนเฝ้าเขตแดนประเทศให้วิญญานไอ้แก่ชังชาติได้สำนึกว่า อย่างน้อยมีทหารไว้ ก็ยังช่วยป้องกันไม่ให้ต่างชาติเข้ามาเยี่ยวรดกระดูกคนชังชาติได้อยู่

หวังว่า“วิญญานไอ้แก่ชังชาติ”จะได้สำนึก และกลับมาเกิด เพื่อกราบตีน“คนรุ่นใหม่”ที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ทำหน้าที่สืบต่อแผ่นดิน“มรดกชาติ”ผืนนี้

เพื่อส่งรุ่น-ต่อรุ่นสืบๆไป!

ก่อนบ้านจะสวยงาม ประเทศจะสงบ มันก็ต้องรก และสับสนอลหม่าน ด้วยหลากผู้คนแลเรื่องราวเช่นนี้แหละ

มันเป็นนิมิตดี อย่าไปถือว่า บ้านเมืองมีแต่ปัญหา ตอนชำระสะสาง มันก็สกปรก เลอะเทอะแบบนี้ พอเสร็จ เข้าที่-เข้าทางแล้ว

ซัก ๒-๓ ปี บ้านเมืองไทยก็จะ“อล่องฉ่อง”เชื่อผมเต๊อะ!

อะไรที่ร้ายๆ มันจะกลายเป็นรวยๆ

อย่างไทยเนี่ย ที่เรียก“แผ่นดินไทย”ถูกต้องที่สุด

เพราะส่วนผสมหลักในความเป็นแผ่นดิน คือสมบูรณ์ด้วยดินและน้ำ

อย่างตะวันออกกลาง หรืออย่างอิสราเอล กาซา อย่างนั้น เรียกแผ่นดินเห็นจะไม่ถูกต้องนัก

ที่ถูกควรเรียก“แผ่นทรายอิสราเอล…แผ่นทรายปาเลสไตน์ เป็นต้น เพราะมีแต่ทราย มีส่วนของน้ำและดินน้อยมาก!

ลม ไฟ มีอยู่ทั่วทุกประเทศ

แต่ที่แผ่นดินไทย มีทั้งดิน มีทั้งน้ำ มีทั้งลม มีทั้งไฟ เรียกว่า ธาตุ ๔ ประชุมกันพร้อม การครบสมบูรณ์ตามสัดส่วนเช่นนี้ ไม่กี่ประเทศในโลกเท่านั้น ที่จะมี!

ฉะนั้น ใจเย็นๆ ในภาวะโลกเปลี่ยนยุค มนุษย์เกิดและอยู่ได้ด้วยธาตุ ๔  ท่ามกลางโลกขาดสมดุล

เชื่อเถอะ ทุกชีวิตจะกระเสือก-กระสนมาที่ไทย เพื่อความอยู่รอดและเป็นสุข ถ้าไม่โลภ

ตะวันตก จะทิ้งเงิน แล้วกันมาแสวงหาคำว่า“น้ำใจ”ใช้หล่อเลี้ยงชีวิต-จิตวิญญานมนุษย์ศตวรรษใหม่

แร่องค์-แร่เอิร์ธ อย่าไปบ้าตามจนเพ้อคลั่ง จุดข้างหน้าที่กงล้อโลกจะฉุดลากมนุษย์ไป จะเวียนกลับสู่คำว่า “เจริญสุดกลับสู่ดั้งเดิม”

คือวิถีชีวิต”ตามธรรมชาติ”

ประเทศที่มีทรัพยากรชนิดนี้มากที่สุดในโลก คือ“ประทศไทย”!

มนุษย์ตะวันตก กำลังโหยหาทรัพยากรล้ำค่าที่เรียก“น้ำใจ”บ้านเมืองไทยเรามีเหลือเฟือ ตั้งแต่เกิด

แต่เรา“มองไม่เห็นคุณค่า”ทั้งที่มีอยู่กับตัว!?

ฉะนั้น ต้องรุ่มร้อนไปกับโลกหมุนลากไปเพื่ออะไร อยู่กับบ้านเมืองไทยของเรา ช่วยกันรักษาบ้านเมืองของเรา

เลือกคนที่มีเปอรเซนต์ดี มีส่วนผสมเลวน้อย ให้เข้ามาทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองของเรา

อีกซัก ๓-๔ ปี ก็สู่อารยะวิไล คนมาหา-หมามาสู่ บ้านเมืองครึกครื้น อุ่นหนา-ฝาคั่ง ทั้งไทย จีน ฝรั่ง แขก มากันเต็มบ้านเต็มเมือง

คนดี ๑๐๐% น่ะ ไม่มี ถึงมีก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้

เหมือนทอง ๑๐๐% ก็ไม่มี มีแค่ทอง ๙๙% นั่นก็ยังนิ่มไป ใช้ทำประโยชน์ได้บางชนิดเท่านั้น

น้ำกลั่น เป็นน้ำบริสุทธิ์ คนกินก็ตาย ใช้เลี้ยงปลา ปลาก็ตาย

ต้องน้ำตามธรรมชาติ มีเชื้อโรคหลากหลายเป็นส่วนผสม นั้นเป็นน้ำสารพัดประโยชน์ ผู้คนแสวงหามาใช้

ใช้กิน ใช้อาบ ใช้รดต้นไม้ ใช้ล้างหน้า ใช้ล้างถ้วย-ล้ามชาม ใช้ทำน้ำประปา กระทั่งใช้ล้างก้นก็ยังได้ ใช้ปนๆกันไป ไหลตามคลอง หนอง ห้วย

แม้ไหลเข้าปาก-เข้าคอ ก็ยังไม่ตาย!

การเมืองเรื่องเลือกตั้ง ก็แนวนี้ ไอ้ที่ว่า“ดี ๑๐๐%”ไม่ต้องเลือกเข้ามา เพราะมันบริสุทธิ์เกินไป

เลือกคนแบบน้ำคลอง น้ำห้วย น้ำหนอง ที่ใช้อาบกินได้นั่นแหละ จะสร้างประโยชน์ให้บ้านเมืองได้

แต่แบบ“น้ำครำ-ดำปี๋”นั่นก็เกินไป เลือกเข้ามาก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ นอกจากในทางแพร่เชื้อร้าย ทำลายทั้งคน-ทั้งสถานที่!

อ้าว…ว่าไปเรื่อย จบแค่นี้ดีกว่า เขาเตือนมาแล้ว “โรงพิมพ์เขาจะปิดแท่น”แล้วนะ!

-เปลว สีเงิน

๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๘

Written By
More from plew
ตั้งพรรค “แค่คิดก็แพ้” #เปลวสีเงิน
เปลว สีเงิน อ่านข่าว “สัพเพเหระ” บางข่าวเมื่อวาน เกิด “มุมคิด” บางอย่างที่อยากคุย ก็อยู่ในวังวน “การเมือง” นี่แหละ แต่เป็นด้าน...
Read More
0 replies on “บ้านเมืองภาวะ”ปลาร้า””