นายกฯใหม่ “ภูมิใจไทย” #เปลวสีเงิน

นายกฯใหม่ "ภูมิใจไทย" #เปลวสีเงิน

เปลว สีเงิน

ผมลาก “สังขารยนต์” ในทศวรรษที่ ๔๐ ซึ่งเครื่องในผุกร่อน ใกล้สิ้นสภาพเต็มที่

ไปให้ “คุณหมอเจฟ” ที่พุทธมณฑล ๔

ช่วยพิจารณา ว่ายังพอตัดผุได้ หรือน่าจะรีบส่งใบสมัครไปเป็น “อาจารย์ใหญ่” ตามโรงพยาบาลน่าจะดีกว่า

หมอเจฟพิจารณาสังขารผมแล้ว ก็บอกว่า “จะช่วยพิจารณาให้ตามที่ชอบ..ที่ชอบ”!

เคยได้ยิน “คำพังเพยไทย” กันมั้ย ที่ว่า….

“ขาไป เหมือนไก่จะบิน ขามาเหมือนห่าจะกิน” นั่นน่ะ คือตอนหัวค่ำ จะได้ไปเที่ยวดูหนัง-ดูลิเก ก็กระดี้-กระด้า หมาตื่น

แต่ตอนกลับ ดึกดื่น โผเผ หมดแรง ง่วงงอน เดินกลับบ้าน จะตายให้ได้ จนหมาหอน

ผมก็ประมาณนั้น แต่ “กลับข้างกัน”

คือตอนไป ไอ้ความที่สังขารน็อตหลวม โรคบรรดามีในโลกมาประชุมกันพร้อม ทั้งบอดี้และเครื่องใน สภาพเหมือน “ห่าจะกิน!”

คือไม่ต่างผ้าขี้ริ้วเปียกๆ ผืนหนึ่ง วางตรงไหน ก็กองซุกอยู่นั้น ขยับเขยื้อนเคลื่อนย้ายไปไหนยากแล้ว

“หมอเจฟ” ยุคไซไฟ ช่วยปรับจูนสังขารยนต์ผม โดยไม่ต้องใช้ยาซักเม็ด จัดการถ่ายน้ำมันเครื่อง-ล้างเครื่องใหม่หมด แล้วหยอดน้ำมันหล่อลื่นตามข้อต่างๆ ใช้เวลา ๖ วัน

แต่แค่วันที่ ๕ คือ เมื่อวาน (๑๙ พ.ย.๖๘)นี้ เท่านั้นแหละครับ

ผม “จากเดิม” ในสภาพ “น็อตหลวม” ทั้งตัว

ขยับเขยื้อนแต่ละที บอดี้ก็พร้อมจะแยกออกมาแต่ละชิ้นส่วน ด้วย “ด้วยเสื่อมสภาพไป” ตามยุค-ตามสมัยคนปลายสงครามโลก ครั้งที่ ๒

แต่เมื่อวานนี้ กลับมีสภาพเหมือน “ไก่กระพือปีก” จะบินท่าเดียว!

ที่ขยับเดินแต่ละก้าว ร้าวปวดเสียว ตั้งแต่สันหลังลงสะโพกและโคนขา ไอ-จาม แต่ละที กระดูกกระเดี้ยว เส้นเอ็น มันแทบจะขาดผึงออกจากกัน นั้น

เหตุจากว่า วันๆ นั่งหน้าคอมพ์มากกว่าการเดินนั่นเอง!

วันนี้ ก็เลยกลับมานั่งคุย “หลังแข็งต่อ” เอาเย็นหน่อย เพราะไม่ได้กินอะไรแต่เช้า เสร็จจากหมอก็บ่าย

เจอร้านติดป้าย “คนละครึ่ง” ข้างทาง เลยแวะฉลอง “สังขารยนต์ใหม่” ซะเลย

ผมก็ดีใจ ที่รัฐบาลจ่ายให้ครึ่ง คนขายก็ดีใจ ที่บ่ายแล้วคนกินยังเวียนเข้า-เวียนออกทั้งวัน

กินเสร็จ เอาแอป “เป๋าตัง” ผมไปจูจุ๊บกับแอป “เป๋าตัง” แม่ค้า เท่านั้นก็ “อิ่มจัง-ตังในกระเป๋าอยู่ครบ” (แต่ในบัญชีไม่ครบ)!

นี่เป็นการทำงานของขุนคลัง “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” เขาละ

“กินร้อย-จ่ายห้าสิบ” ยังไงๆ มันก็ทำนอง “ประชาชนรวย-รัฐรีด, ประชาชนซีด-รัฐช่วย” มันเป็นความรู้สึกดีๆ ทางใจร่วมกันอย่างหนึ่ง ระหว่างประชาชนกับรัฐบาล

เมื่อวาน (๑๙ พ.ย.) เห็นข่าวแวบๆ ว่า นายกฯ อนุทินภูมิใจเสนอกับนักข่าวว่า สมัยหน้า “พรรคภูมิใจไทย” จะมีแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ๓ คน คือ

-นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล

-นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ และ

-คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์

แล้วท่าน “สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว” รมว.ต่างประเทศ ของผมละ แม้โควต้าว่าที่นายกฯ จะเต็ม

แต่ท่านนายกฯ จะใจจืด-ใจดำ ไม่เอ่ยชวนท่านมาสานงานต่างประเทศต่อ ในตำแหน่ง “รองนายกฯ” และรัฐมนตรีต่างประเทศเลยเชียวหรือ?

ว่าแต่ว่า นายกฯ คุยกับทั้ง ๒ ท่านนี้ คือ คุณเอกนิติ คุณศุภจี ตกลงรับปาก-รับคำกันมั่นเหมาะแน่แล้วหรือ?

เก้อทีหลัง จะ ถูกเค๊ากุ๊ยๆๆๆเอานะ!

“นายกฯ อนุทิน” นี่ ตอนนี้ ไม่เรียกรถทัวร์มาสร้างความครึกครื้นให้ผมเลย บอกตรงๆ….เหงาจัง

มีแต่เสียงชียร์ ชื่นชม-ยกย่อง น่าเบื่อนะ คนอาไร้…เป็นนายกฯ ให้พวก “อิจฉา-ริษยา” เขาด่าได้เดือนเดียว

จากนั้น มีแต่เสียงชื่นชมกันว่า หนูเดินแผน “ยืมมืออินทรีไปตีเหี้ย” ได้เหนือชั้นจริงๆ!

อย่างนี่ “Thenewsroom.co” เขาว่า…..

ทำไม “นายกฯ อนุทิน” ใช้การ “ใจเย็นก่อน แล้วค่อยแข็ง”

บทวิเคราะห์เกมยาวชายแดนไทย-กัมพูชา ของ ‘อนุทิน’ ที่หลายคนมองไม่เห็น

บทวิเคราะห์

หากมองเพียงฉากหน้า ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี ถูกวิจารณ์อย่างหนักในโลกโซเชียลและบางกลุ่มการเมืองว่า

“อ่อนข้อ” หรือกระทั่ง “ขายชาติ” ต่อกัมพูชา จากการพยายามลดแรงปะทะและถ้อยคำชิงชังระหว่างสองประชาชน

โดยเฉพาะหลังการลงนามใน “ปฏิญญาสันติภาพ” ตามคำร้องของ “อันวาร์” ประธานอาเซียนและมี “โดนัลด์ ทรัมป์” เป็นประธานร่วมสังเกตการณ์

ในระดับสัญลักษณ์ เขาถอนกำลังออกจากแนวปะทะบางจุด “ตามมารยาททางการทูต” พร้อมให้สัมภาษณ์เชิงลดอุณหภูมิ ความขัดแย้ง

พูดถึงไทย-กัมพูชาเหมือน “ลิ้นกับฟัน” ที่กระทบกันเพราะใกล้กันมาก ไม่ใช่เพราะเป็นศัตรูโดยสันดาน

นั่นเป็น “ภาพจำแรก”

แต่ไม่ใช่ “เกมทั้งหมด”

เพราะการลดดีกรีความร้อน ไม่ได้เท่ากับการยอมแพ้

ในทางการทูต นั่นคือ “การให้เวลาทำงาน”

“หมากเงียบ” ที่หลายคน มองไม่เห็น

1.ลดแรงทางอารมณ์ภายในประเทศ

หากรัฐบาลไทยเลือกแข็งตั้งแต่วันแรก ความโกรธของสังคมอาจจะลุกลามเร็วและบานปลายเป็นความเกลียดระดับชาติ ซึ่งย้อนกลับมาทำลายเสถียรภาพการเมืองในประเทศ

2.สร้างภาพลักษณ์ “ฝ่ายที่มีเหตุผล” ในสายตานานาชาติ

นี่คือกุญแจสำคัญในเกมอาเซียน

เพราะประเทศที่ “ไม่ใช่คนเริ่มก่อน” จะได้รับเครดิตทางศีลธรรม (Moral High Ground) — เป็นปัจจัยสำคัญเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน

3.เปิดพื้นที่ความร่วมมือ ค่อยดึงคู่เจรจาออกจากจุดได้เปรียบ

การยอมเปิดพื้นที่เล็กน้อยในตอนแรก ทำให้กัมพูชา “คิดว่าตัวเองได้แต้ม” และลดการระวังตัว

นั่นทำให้ไทย “อ่านทางคู่เจรจาได้ชัดขึ้น”

แต่ทุกเกมย่อมมี “จุดหักมุม”

เหตุการณ์ทหารไทยบาดเจ็บจาก “กับระเบิด” บนพื้นที่ที่ควรเป็น “โซนอ่อนแรงตึงเครียดตามปฏิญญาสันติภาพ”  กลายเป็นจุดหักมุมเชิงยุทธศาสตร์

เพราะครั้งนี้ ประเทศไทยมี “ความได้เปรียบ” ทางภาพลักษณ์เต็มมือ

ไทย “เริ่มจากความสุภาพ”

ฝ่ายตรงข้าม “ล้ำเส้นก่อน”

นั่นทำให้การสั่ง “ระงับการปฏิบัติตามปฏิญญาสันติภาพทันที” ของอนุทิน

ไม่เพียงเป็นการตอบโต้

แต่เป็น “การพลิกกระดาน”

โลกจะมองเห็นอย่างชัดเจนว่า “ไทยไม่ใช่ผู้จุดไฟ”

กัมพูชาจะกลายเป็นฝ่าย “เสียแต้ม” ในระดับภูมิรัฐศาสตร์

และ “ตระกูลฮุน” ที่กุมอำนาจ จะถูกบีบพื้นที่ทางการเมืองและการทูตมากขึ้นเรื่อยๆ

“เรื่องเจรจาต่อรอง ผมไม่เคยแพ้ใคร” คำพูดที่กำลังเริ่มขึ้น

ประโยคนี้ อนุทินพูดไว้นานก่อนเหตุการณ์ปะทะครั้งล่าสุด

ตอนนั้น หลายคนมองว่าเป็นเพียง “วาทกรรม”

แต่วันนี้ เริ่มเห็นเค้าโครงว่า นี่คือ  “หมากที่วางไว้” แล้ว

ใจเย็นก่อน เพื่อได้ ฐานความชอบธรรม

รออีกฝ่าย “ก้าวพลาด” เพื่อได้ “ฉากทางการทูต”

แล้วค่อย “ปรับเข็มยุทธศาสตร์” อย่างเฉียบคม

นี่คือรูปแบบของ “การเจรจาเชิงอำนาจ” ไม่ใช่การเล่นเพื่อ “เสียงเชียร์รายวัน”

การ “ใจเย็นก่อน แล้วค่อยแข็ง” อาจไม่ใช่ความอ่อน

แต่มันคือ “การใช้ศักดิ์ศรีชาติเป็นทุน”

และหากผลลัพธ์สุดท้ายคือ

ความสูญเสียน้อยลง, ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนสองประเทศดีขึ้น, ภูมิภาคมีสันติภาพยืนยาวกว่าเดิม

ไทยรักษาพื้นที่ในเวทีอาเซียนโดยไม่ถูกตราหน้า

ประวัติศาสตร์อาจเขียนช่วงเวลานี้ว่า

นี่….ไม่ใช่การยอมจำนน

แต่คือ การเดินเกมระดับผู้นำที่เข้าใจสถานการณ์

“ความสงบไม่ใช่การถอย แต่คือชัยชนะที่ต้องใช้สติยาวกว่าเสียงปรบมือในวันนี้”

……………………………………………..

สำหรับ ท่านรัฐมนตรีพาณิชย์ “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” ท่านเป็น “ประตูอนาคตใหม่ของสินค้าไทยสู่ตลาดโลก”

ท่านเอาทรัพยากรด้านอาหารอันเป็น “จุดแข็ง” ที่ไทยมี ไป “รองรับจุดอ่อน” ของตลาดโลก ที่นับวันจะเป็นโจทย์ยากในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ไปปลุกให้ตลาดโลก “ตื่นตัว”

ฟังที่คุณ “ที่นี่ระยอง” เขาโพสต์ไว้ซี

“เดือนครึ่ง… หรือจริงๆ ซุปเปอร์ฮีโร่ แปลงกายมาทำงานให้ไทยกันแน่!?”

อ่านหัวแล้วสงสัยใช่ไหมล่ะ ว่ามีใครทำงานไวขนาดนั้น! บอกเลย…มีครับ และคนนี้คือ ท่านรัฐมนตรี Super G ผู้มาพร้อมสกิล สปีดเหนือเสียง และวิสัยทัศน์ไกลกว่าระบบสุริยะ 🌍✨

เรื่องมันมีอยู่ว่า…

ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งได้แค่เดือนนิดๆ ท่านก็เดินเกม “ปักตะกร้าเพิ่มทั่วโลก” แบบไม่พัก ไม่ผ่อน ไม่ง่วง!

ทำงานชนิดที่ว่า ตัวเป็นเกลียว หัวเป็นน็อต จนประชาชนอย่างเราได้แต่นั่งงงว่า

“นี่เรามีรัฐมนตรีหรือมีไอรอนแมนภาคไทย?”

🚀 ผลงานที่เด่นจนต้องร้องว้าว!

🌎 1)เข็น FTA ไทย แคนาดา แบบแรงไม่เกรงใจใคร

นี่ไม่ใช่แค่ข้อตกลงธรรมดา แต่เป็นหมากสำคัญระดับทวีป!

เปิดประตูใหญ่สู่ตลาดอเมริกาเหนือมูลค่าเบาๆ… 30 ล้านล้านดอลลาร์ 😳

คาดว่าการส่งออกไทยจะดีดขึ้น 15–20% โดยเฉพาะฝ่ายเกษตรและอิเล็กทรอนิกส์

ยังไม่พอ!ไทยจะได้ใช้แคนาดาเป็น “ประตูสำรอง” ส่งต่อสินค้าไปสหรัฐฯ–เม็กซิโก แบบไม่ต้องโดนภาษีจังๆ

และยังได้เข้าถึงแร่ล้ำค่าอย่าง “ลิเธียม–นิกเกิล” สำหรับอุตสาหกรรม EV อีกด้วย ⚡🚗

สรุปสั้น ๆ: FTA นี้คือ ความปังที่ได้ทั้งตลาด ได้ทั้งทรัพยากร ได้ทั้งอนาคต 🇹🇭💥

🧭 2) กระจายความเสี่ยงทางการค้าแบบครบ 360 องศา

ไม่รออเมริกาอย่างเดียว!ท่านเดินสายคุยกับประเทศอื่นอีกเป็นโขยง

ทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ชิลี สวีเดน เยอรมนี ออสเตรเลีย มาเลเซีย เรียกว่าปักหมุดจนทั่วโลกเริ่มสะดุ้งว่าไทยมาแรง!

🍚 3) ประวัติศาสตร์หน้าใหม่: ไทยขายข้าว 100,000 ตันให้สิงคโปร์

นี่ไม่ใช่ดีลธรรมดา แต่มันคือการประกาศความเป็น Food Security Hub ของภูมิภาค

ไทยไม่ได้แค่ขายข้าว…ไทยขาย “ความมั่นคงทางอาหารระดับภูมิภาค” เลยค่ะ!

🇷🇺 4) ดีลรัสเซียผ่าน!เพิ่มนำเข้า “สินค้าเกษตร” จากไทย

เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสดๆ ร้อนๆ ที่ต่อยอดตลาดใหม่ให้สินค้าไทยได้สุดทาง

🎖️มากกว่ารัฐมนตรี…นี่คือ “นักวางเกมยุทธศาสตร์” ของประเทศ

สิ่งที่ท่านทำทั้งหมด จะช่วยสร้างงานกว่า 50,000 ตำแหน่ง และเปิดทางให้ SMEs ไทยกว่า 3 ล้านราย ไปสู่ตลาดไฮเอนด์ในระดับโลกจริง ๆ

เหมือนท่านกำลัง “จัดกระดานใหม่” ให้ไทยเป็น “พลังใหม่ที่ช่วย G7 ลดความเสี่ยงจากการพึ่งอเมริกา”

เรียกง่ายๆ ว่า ไทยยิ่งใหญ่ขึ้นบนเวทีโลกแบบมีชั้นเชิงค่ะ

ในมุมส่วนตัว…ขอสารภาพว่า “ปลื้มท่านมาก” จากใจเลยว่า

เก่ง ฉลาด ทำงานไว มารยาทงาม

และให้เกียรติทุกคนแบบน่ารักสุด ๆ

เป็น FC  มานาน และจะขอเชียร์ท่าน Super G ต่อไปครับ

ขอให้ท่านแข็งแรง มีพลัง ทำงานเพื่อประเทศได้อีกยาว ๆ

……………………..

ฝากถามคุณ “ศุภจี” ซักคำนะครับ

ท่านว่า ระหว่าง “พ่อค้าทั้งโลก” กับ “ข้าราชการกระทรวงพาณิชย์”

อย่างไหน “น่ากลัว” และ “เขี้ยว” กว่ากันครับ?

เปลว สีเงิน

       ๒๐พฤศจิกายน ๒๕๖๘

Line Open Chat *เพิ่มช่องทางการรับข่าวสาร จากเว็บไซต์ *อ่านคอลัมน์ เปลว สีเงิน ก่อนใคร *ส่งตรงถึงมือทุกคืน *เปิดกว้างเพื่อแฟนคอลัมน์พูดคุยแบบกันเอง ทุกเรื่องราว ข่าวสารบ้านเมือง สังคม ฯลฯ

 

 

Written By
More from plew
“สวรรค์-นรก” ของทักษิณ – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน ท่านว่า…. ทักษิณเป็น “นักโทษเทวดา” มีอิทธิฤทธิ์เหนือทั้งกฎหมายเหนือทั้งประเทศ” …….จริงหรือไม่?
Read More
0 replies on “นายกฯใหม่ “ภูมิใจไทย” #เปลวสีเงิน”