ผักกาดหอม
ว่าแล้วเชียว
เขมรไว้ใจไม่ได้จริงๆ
ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดของเขมรอีกแล้ว เหตุเกิดในพื้นที่ห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนเส้นทาง เป็นเหตุให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ ๔ นาย
๑.จ.ส.อ.เทิดศักดิ์ สมาพงษ์ ตำแหน่งในสนาม ผบ.มว.ปล. ได้รับบาดเจ็บ ข้อเท้าขวาขาด
๒.พลฯ วชิระ พันธะนา ตำแหน่งในสนาม พลกระสุนที่ ๒ ได้รับบาดเจ็บ โดนแรงอัดระเบิด
๓.พลฯ อภิรักษ์ ศรีชมไชย ตำแหน่งในสนาม พลยิง M203 ได้รับบาดเจ็บ โดนสะเก็ดระเบิดเข้าที่น่องขาขวา จำนวน ๒ รู
๔.พลฯ อนุชา สุจารี ตำแหน่งในสนาม พลปืนเล็ก ได้รับบาดเจ็บ ฝุ่นหรือสารเคมีจากระเบิดเข้าตา
ประเด็นอยู่ที่ เป็นทุ่นระเบิดที่ถูกนำมาวางใหม่
ทำไมรู้ว่าเขมรเพิ่งนำมาวางใหม่
ก็เพราะเส้นทางที่ทหารเดินลาดตระเวนเป็นเส้นทางเดิม ไม่เคยมีการวางทุ่นระเบิดมาก่อน
เหตุการณ์นี้ตอกย้ำให้เห็นว่า ไทยยังไม่พร้อมที่จะคุยกับรัฐบาลกัมพูชาอย่างสันติ กลับกันต้องกำหนดท่าทีที่แข็งกร้าวเพื่อให้เขมรได้รู้ว่า ถ้าไม่อยากจบก็จะได้สิ่งนั้นในทันที
ครั้งนี้ถือว่า นายกฯ อนุทิน ฉับไว ครับ
อะไรที่เกี่ยวกับเขมร หยุดทุกอย่าง!
“ผมรับทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ชัดเจนว่าผมเห็นด้วยและสนับสนุนการดำเนินการของกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพในเรื่องนี้ สิ่งที่ดำเนินการมาโดยตลอด ณ ตอนนี้จะหยุดจนกว่าจะมีความชัดเจน
ผมจะแจ้งไปยังกระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ ว่าต้องทำตามสิ่งที่ประเทศไทยต้องการเท่านั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เราคิดว่าความเป็นปฏิปักษ์ที่คิดว่าจะลดลงไปต่อความมั่นคงของชาติมันไม่ได้ลด เมื่อไม่ได้ลด เราจะดำเนินการอะไรนอกเหนือจากนี้ไม่ได้”
เชลยศึก ๑๘ คน จะไม่ส่งกลับ
ให้กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงกลาโหม ประท้วงไปยังคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team: IOT) โดยจะดำเนินการให้ถึงที่สุด
ในเมื่อ “ฮุน เซน” เคยบอกว่าปิดด่านไปอีก ๕๐๐ ปี เขมรก็ไม่เดือดร้อน มาตรการเปิดด่านก็ควรจะลากยาวจนกว่าจะมีความชัดเจน
ช่วงนี้ข่าวชายแดนไทย-เขมร กลับมามีประเด็นให้พูดถึงกันอีกครั้ง
จู่ๆ ก็คิดถึงนักสิทธิมนุษยชนขึ้นมา
ไม่เห็นมีใครโผล่หน้ามาประณามเขมรจากกรณีล่าสุดนี้เลยครับ
ทหารไทยเจ็บไป ๔ นาย เงียบกริบ!
แต่ก็เอาเถอะ มันขึ้นกับจิตสำนึก
ครับ…ประเด็นที่ “แม่ทัพกุ้ง-พลโท บุญสิน พาดกลาง” แฉว่า การสู้รบกับกัมพูชาช่วงวันที่ ๒๔-๒๘ กรกฎาคม หลังจากรบวันแรกได้เพียง ๖ ชั่วโมงก็มีคำสั่งจากผู้ใหญ่ให้หยุดยิง นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์กันเยอะครับ
“…๖ ชั่วโมง ให้หยุดครับ เขาขอร้องให้หยุดเลย ตั้งแต่เริ่มปะทะกันปุ๊บให้หยุดเลย แต่ผมไม่หยุด เพราะผมสตาร์ตแล้ว ผมขอร้องผู้บังคับบัญชาว่าไม่หยุดครับ ผมขอต่อรองไปหลายวัน บวกลบคูณหาร ขออย่างนี้ได้ไหม ผมบอกไม่ได้ครับ ผมไปต่อก่อน เพราะว่าผมเข้าเกียร์หนึ่งแล้ว เขาก็ไปตั้งหลักใหม่
ถ้าหยุดผมต้องออกมาพูดว่าใครสั่งให้หยุดแล้วเขาจะอยู่ไม่ได้ครับ เพราะว่าผมจะเอาแผ่นดินคืน แล้วคุณมาหยุดนี่ นั่นคือโทษประหารคุณเลยทีเดียวนะครับ…”
หลากหลายมุม
มีทั้งเห็นด้วยกับแม่ทัพกุ้ง
และมองว่า แม่ทัพกุ้ง หิวแสง
ไปดูข้อเท็จจริงกันครับ ใครเป็นคนสั่ง ไม่สำคัญเท่าวิธีการสั่ง
อย่าลืมนะครับสงครามขนาดย่อม ๕ วัน เกิดจากการไฟเขียวของรัฐบาล ผ่านกลไกความมั่นคงซึ่งก็คือสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
เมื่อการใช้อาวุธสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน มีคำสั่งที่ชัดเจน “แม่ทัพกุ้ง” ก็ดำเนินการไปตามนั้น
ไม่ใช่จู่ๆ ลากรถถังไปยิงกับเขมร โดยที่รัฐบาลไม่รู้เรื่อง
รบกันไป ๖ ชั่วโมง มีคนสั่งผ่านอีกคนให้ไปบอก “แม่ทัพกุ้ง” ว่าให้หยุดยิง
คำสั่งแบบนี้ไม่สามารถปฏิบัติตามได้ครับ
เพราะหากเกิดความเสียหายขึ้นมา คนที่ต้องรับผิดชอบเต็มๆ คือ “แม่ทัพกุ้ง”
หากจะให้หยุดยิง ก็ต้องย้อนกลับไปที่คำสั่งให้ยิงนั่นแหละครับ
และมีคำสั่งหยุดยิงที่มาจากผลการเจรจาไทยและกัมพูชา มีผลตั้งแต่เวลา ๐๐.๐๐ น. ของวันที่ ๒๙ กรกฎาคม
นั่นคือคำสั่งที่ “แม่ทัพกุ้ง” ต้องปฏิบัติตาม ถ้าปฏิเสธถือเป็นกบฏ
ฉะนั้นใครที่บอกว่า “แม่ทัพกุ้ง” หิวแสง มีคำสั่งให้หยุดยิง แต่ไม่ทำตาม ก็กลับไปเสพข้อมูลเสียใหม่
บ้างก็ว่าทำตัวอยู่เหนือรัฐบาล
ไม่จริงหรอกครับ
ปฏิบัติการทางทหารทั้งหมดล้วนได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลทั้งสิ้น
กองทัพเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลไม่สามารถแยกออกเป็นอิสระได้
มีแต่นายกรัฐมนตรีในรัฐบาลก่อนนั่นแหละครับที่ผลักอดีตแม่ทัพภาคที่ ๒ ไปเป็นฝ่ายตรงข้าม
ที่ต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้ก็เพราะ มีการนำประเด็นที่ “แม่ทัพกุ้ง” พูด ไปโจมตีว่ากองทัพเป็นเอกเทศ ไม่ฟังรัฐบาล
โดยเฉพาะในหมู่คนที่ชูประเด็นปฏิรูปกองทัพ
การทำสงครามหากประกาศทำสงครามเต็มรูปแบบทหารตัดสินใจเองไม่ได้
เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภานะครับ
และต้องใช้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกรัฐสภาทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ถือว่ามากทีเดียว
อย่าไปเข้าใจว่าทหารแบกปืนไปรบกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยตัวเอง มันไม่ใช่ครับ
กองทัพไม่ได้ใหญ่กว่ารัฐบาล
ขณะเดียวกันรัฐบาลจะแทรกแซงกองทัพ ก็ต้องอ่านกฎหมายให้ดี
ครับ..”แม่ทัพกุ้ง” ไม่ได้บอกว่าใครสั่งให้หยุดยิง
แต่ขอให้ทราบโดยทั่วกันว่า คนที่สั่ง ไม่ประสงค์ดีกับประเทศไทยแน่นอน
ต้องถามว่าทำไมสั่งปากเปล่า มีอะไรที่เขมรมาติดคอ
คำสั่งปากเปล่าจะให้ทหารปฏิบัติตามได้อย่างไร
ทำไมไม่ออกเป็นมติเหมือนที่ไฟเขียวให้กองทัพภาคที่

๒ รบกับเขมร
คนสั่งคนนี้มีลับลมคมใน
เปิดชื่อมาเมื่อไหร่ หมดอนาคตครับ.
