ผักกาดหอม
เรื่องไม่เป็นเรื่อง ก็เอามาเป็นเรื่องจนได้
หลังทีมงานพรรคเพื่อไทย นำโดย “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” เข้าอวยพรวันคล้ายวันเกิด “สนธิ ลิ้มทองกุล” ครบ ๗๘ ปี ที่บ้านพระอาทิตย์
หอบช่อดอกไม้จาก “แพทองธาร ชินวัตร” ไปด้วย
ดรามาบังเกิดครับ
ทั้งส้มทั้งแดงด่ายับ
วิจารณ์ละเอียดยิบถึงขั้นที่ว่า “จุลพันธ์” อ่อนน้อมเป็นฝ่ายยกมือไหว้ก่อน
ส้มตัวแม่อย่าง “อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล” ไม่พลาด คนนี้กูรูในการปั่นข่าว
“ขณะรับโอวาท หัวหน้า #พรรคเพื่อไทย พร้อมทีมบริหารพรรค ในโอกาสเข้าอวยพรวันเกิดนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่บ้านพระอาทิตย์ โอกาสอายุครบ ๗๘ ปี #เพื่อไทยใจกาก”
“นายจุลพันธ์ หัวหน้า #พรรคเพื่อไทย คนใหม่ พร้อมผู้บริหารพรรค ตบเท้าเข้าอวยพรวันเกิด #สนธิ ลิ้มทองกุล ในโอกาสอายุครบ ๗๘ ที่บ้านพระอาทิตย์ พร้อมช่อดอกไม้จาก #แพทองธาร ที่บ้านพระอาทิตย์ #เพื่อไทยการละคร”
พร้อมโชว์ภาพหราในโซเชียล
เจตนาก็ชัดเจนครับ ไปดูคอมเมนต์ในเพจของส้มตัวแม่ได้ คนที่ถูกพาดพิงอยากจะฟ้องใครก็ตามสะดวกครับ เพราะวิจารณ์กันแบบไม่กลัวต้องถือช่อดอกไม้ไปขอขมา
บางโพสต์ใช้ภาษาที่ใช้กับเบื้องสูง!
และบางโพสต์โคตรหยาบคาย
หรือเป็นเรื่องปกติของคนกลุ่มนี้
เห็นใจ “จุลพันธ์” ครับ
พฤติการณ์ที่แสดงออกในทางบวก การแสวงหามิตร มิใช่ศัตรู คือสิ่งที่นักการเมืองยุคนี้ พ.ศ.นี้ พึงกระทำ แต่พรรคส้มและแนวร่วมยังติดหล่มความขัดแย้ง
ก็สมกับแคมเปญหาเสียง มีเราไม่มีเทา นั่นแหละครับ ในความหมายอะไรที่ต่างจากส้มคือเทา
คนที่คิดไม่เหมือนส้มคือชนชั้นที่ต่ำกว่า
สาวกเพื่อไทยยอมที่ไหนล่ะครับ ไปงัด ภาพเหตุการณ์เก่าที่ “ชัยธวัช ตุลาธน” อดีตเลขาธิการพรรคก้าวไกล เข้าพบ หลวงปู่พุทธะอิสระ อดีตแกนนำ กปปส. มาโชว์บ้าง
พร้อมข้อความตอบโต้กันดุเดือด
“…ไปมอบดอกไม้วันเกิดสนธิ แสดงมารยาทแล้วก็จบ ไม่ได้เอาสนธิมาบริหารพรรค มาบริหารบ้านเมืองให้เสียหาย ไม่ได้เอามาเป็นศาสดา
ต่างจากไปขานชื่ออนุทินให้มามีอำนาจยุบคดีฮั้ว สว. ให้มามีอำนาจตั้งองค์กรอิสระคุมประเทศ แล้วยังต้องคอยค้ำให้อยู่ในอำนาจ
การไปหาสนธิของนักการเมืองอาจมีผลต่อความรู้สึกกองเชียร์ ซึ่งต้องระมัดระวังในการบริหารความรู้สึก แต่ในมุมนักการเมืองที่เวลาเดินหาเสียง ก็ต้องเดินเข้าทุกบ้าน
หรืออย่างชัยธวัช ไปหาพุทธะอิสระ ก็ไม่ใช่ว่าจะไปเอามาเชิดชูเป็นศาสดา…”
เลือดสาด…
ทุกพรรคแหละครับ ยิ่งอยู่นานแผลยิ่งเยอะ
พรรคส้มก็ไม่เว้น ต่อให้ไม่เคยเป็นรัฐบาลเลย ก็มีแผลให้ฝ่ายตรงข้ามสะกิดได้เช่นกัน
อยู่ที่เจตนาครับ การไปอวยพรวันเกิด จะมองเป็นประเด็นการเมืองก็ได้ มองเป็นเรื่องมารยาททางสังคมก็ได้ แต่จะเอาไปขยายความขัดแย้งเพิ่มเติมคงไม่เหมาะ เพราะประเทศบอบช้ำมามากแล้ว
อีกทั้งเลือกตั้งครั้งหน้า หากพรรคส้มไม่ได้เสียงข้างมาก ต้องอาศัยความเทาของพรรคอื่น ถึงวันนั้นพลิกลิ้นกันไม่ทันแน่นอน
ไปดูกูรูเลือกตั้งเขาคาดการณ์กันก่อน
“สมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
วิเคราะห์แล้วผลออกมาดังนี้
“…หากดูจากตอนนี้ ประเมินว่า พรรคภูมิใจไทย จะได้สส.เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และจะแซงพรรคประชาชน ภูมิใจไทยอาจจะไปที่ ๑๔๐-๑๕๐ เสียง
ส่วนพรรคประชาชนอาจจะเหลือสักประมาณ ๑๒๐ ที่นั่ง
พรรคเพื่อไทย ก็จะเป็นพรรคอันดับสาม ที่อาจจะได้สส.ต่ำกว่า ๑๐๐ ที่นั่ง คือประมาณ ๘๐-๙๐ เสียง
ส่วนพรรคกล้าธรรม คาดว่าจะได้ประมาณสัก ๕๐-๖๐ ที่นั่ง…”
“….หลังเลือกตั้ง หากพรรคภูมิใจไทยได้ สส.มาเป็นอันดับหนึ่ง ภูมิใจไทยก็จะเลือกในการจับมือกับพรรคการเมืองอื่นๆ คำถามคือจะจับมือกับพรรคประชาชนหรือไม่…”
“…ผมคิดว่าชอยซ์ในการตัดสินใจที่จะเลือกพรรคประชาชน จะเป็นชอยซ์สุดท้ายที่จำเป็นจริงๆ เพราะพรรคประชาชนค่อนข้างตั้งเงื่อนไขเยอะพอสมควร
เขาอาจมีมาตรฐานในการทำงานสูง ก็อาจไม่ต้องการทำงานกับพรรคแนวแบบนี้ พรรคประชาชนก็อาจกลายเป็นพรรคฝ่ายค้าน ผมยังคิดว่า นายอนุทิน ยังเป็นต่ออยู่ เพราะหากไม่เป็นต่อ การไหลเข้า (พรรคภูมิใจไทย) คงไม่เกิดขึ้นมากมายขนาดนี้ ซึ่งตอนนี้นายกฯ ถือว่ายังไม่เสียหายมาก แต่ก็อย่าประมาท…”
จะว่าไปแล้วการเมืองวันนี้ กับการเมืองก่อนที่พรรคภูมิใจไทยจะมาเป็นรัฐบาล เริ่มมองเห็นความแตกต่าง บทบาทแต่ละพรรคการเมืองก็เปลี่ยนไปมากพอควร
และหากพรรคภูมิใจไทยชนะการเลือกตั้ง ได้ สส.มากเป็นลำดับที่ ๑ เราอาจเห็นการพลิกโฉมการเมือง
พรรคภูมิใจไทยอาจจับมือพรรคส้มตั้งรัฐบาลแทนที่จะเป็นพรรคเพื่อไทย
วิเคราะห์จากสิ่งที่เห็นในวันนี้ หลังจากพรรคส้มโหวตให้ “อนุทิน” เป็นนายกรัฐมนตรี ความแตกต่างระหว่างพรรคส้มกับพรรคเพื่อไทยเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
พรรคส้มลากพรรคเพื่อไทยมาตบหน้าตลาดสดมากกว่าที่ทำกับรัฐบาลเสียอีก
ขณะที่พรรคเพื่อไทยพูดเรื่องอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคส้มกลับเห็นไปอีกทาง
“ศิริกัญญา ตันสกุล” เปิดไพ่ให้เห็นกันจะจะ
“…เราคิดว่าการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะใช้ในการกำกับพรรคภูมิใจไทยให้ปฏิบัติตาม MOA แต่ไม่ปฏิเสธว่าถ้ามีเรื่องร้ายแรง ที่เราไม่สามารถให้รัฐบาลของพรรคภูมิใจไทยซึ่งเป็นแกนนำบริหารประเทศต่อไปได้อีกแม้แต่วันเดียว เราไม่ลังเลใจที่จะยื่นแน่นอน แม้จะเท่ากับว่า MOA จะสูญเปล่า
แต่จนถึงทุกวันนี้ เรายังไม่พบข้อมูลที่คิดว่าร้ายแรงสุดๆ จริงๆ ที่เราอยากกระทุ้งให้รัฐบาลแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือทำอะไรบางอย่าง เราได้พยายามผลักดันในทุกวิถีทางด้วยกลไกที่เรามีอยู่แล้ว ถ้าจะมีพรรคฝ่ายค้านที่มีเสียงร่วมกันเกิน ๑ ใน ๕ ของสมาชิกสภาไปยื่น เราคงห้ามไม่ได้ เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ในฐานะที่เป็นพรรคร่วมฝ่ายค้านเหมือนกัน ก็คงต้องมาคุยกันว่าจะยื่นเมื่อไหร่…”
แปลไทยเป็นไทย ให้รัฐบาลบริหารประเทศตาม MOA ต่อ เพราะยังไม่พบข้อมูลมีความผิดร้ายแรง
ฉะนั้น รัฐบาลหน้า อาจเกิดสิ่งเหนือความคาดหมายขึ้นได้ครับ.

