ผักกาดหอม
แรกๆ ก็ไม่ได้คิดอะไรครับ…
แต่พอเป็นข่าวเรื่องที่ “ท่าน สว.อังคณา นีละไพจิตร” ออกมาตำหนิเรื่องที่ฝั่งไทยเปิดเสียงโหยหวนผ่านลำโพงให้ฝั่งเขมรฟัง ทัวร์ลงทันที เพราะทีไทยโดนเขมรยิงมีเด็กคนแก่ตายไม่เห็นออกมาแสดงบทนักสิทธิมนุษยชนบ้าง
ก็จริง…
ไปดูจุดเริ่มต้นกันก่อน
“สว.อังคณา” โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลว่า
“…ในช่วงความขัดแย้ง/สงคราม การปล่อยให้ #อินฟลู หรือกลุ่มบุคคลเข้าไปกระทำการเพื่อสร้างความกดดันหรือความหวาดกลัว ถือเป็นความท้าทายอย่างมากต่อรัฐบาลโดยเฉพาะ รมต.ต่างประเทศ ถึงแนวทางการแก้ปัญหาเพื่อหาทางออกร่วมกัน
รัฐบาลไทยควรตระหนักว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นถูกรายงานไปยังองค์การสหประชาชาติ วานนี้ (๑๑ ตุลาคม) Keo Remy ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา (Cambodia Human Rights Committee) ได้มีหนังสือถึงข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชน สหประชาชาติ ระบุว่า
คณะกรรมาธิการได้รับรายงานที่เชื่อถือได้จากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและพลเรือน ที่ได้รับผลกระทบในหมู่บ้านเปรย์จัน และจ็อกเจย์ ตำบลโอเบย์จอน อำเภอโอจรอว์ จังหวัดบันเตียเมียนเจย ระบุว่า หน่วยทหารแห่งราชอาณาจักรไทยได้กระจายเสียงที่มีลักษณะคล้ายเสียงโหยหวนของภูตผีผ่านลำโพงขนาดใหญ่ ตั้งแต่เวลา ๒๒.๔๔ น. จนถึงเวลา ๐๐.๐๔ น.
จากนั้นได้เปิดเสียงเครื่องยนต์อากาศยานต่อเนื่อง ตั้งแต่เวลา ๐๓.๒๒ น. ถึงเวลา ๐๓.๕๓ น. โดยจงใจส่งเสียงไปยังชาวบ้านกัมพูชาในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่ง #มีเจตนาเพื่อรบกวนและข่มขวัญ
เสียงเหล่านี้ ซึ่งถูกอธิบายว่าเป็นเสียงดังแหลมสูงและต่อเนื่องเป็นเวลานาน ได้ #สร้างความเดือดร้อนในการนอนหลับ ก่อให้เกิดความวิตกกังวลและสร้างความไม่สบายทางร่างกายในหมู่ชาวบ้าน รวมถึงสตรี เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และคนพิการ
การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์และยั่วยุในลักษณะเช่นนี้ ไม่เพียงเป็นอันตรายต่อสุขภาพกายและใจของพลเรือนกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่การยกระดับความตึงเครียดระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน
การกระทำดังกล่าวไม่มีในสังคมอารยะใดๆ และขัดแย้งโดยตรงกับหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติ (These actions have no place in any civilized society and stand in direct contradiction to the principles of the United Nations Charter) ซึ่งยึดมั่นในสันติภาพ สิทธิมนุษยชน และการเคารพอธิปไตยซึ่งกันและกันระหว่างประเทศ
การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงต่อเจตนารมณ์ของ ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัมพูชาและไทย เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๐๒๕ และบันทึกข้อตกลง ๑๓ ข้อของการประชุมคณะกรรมการชายแดนร่วม (GBC) สมัยวิสามัญระหว่างกัมพูชาและไทย เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๐๒๕…”
“สว.อังคณา” โพสต์เชิงตำหนิหรือเปล่า
เจ้าตัวบอกว่าเปล่า ไม่ได้ตำหนิใคร
แต่ถ้าอ่านดีๆ ประโยคเริ่มต้น
“ในช่วงความขัดแย้ง/สงคราม การปล่อยให้ #อินฟลู หรือกลุ่มบุคคลเข้าไปกระทำการเพื่อสร้างความกดดันหรือความหวาดกลัว”
มันอยู่ที่มุมมองครับ
ฉายหนังผีเสียงดังลั่นไปฝั่งเขมร คนกลัวผีก็อาจจะกลัว
แต่คนไม่กลัวผีก็เฉยๆ แค่เสียงดังหนวกหูเท่านั้น
ที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งกัมพูชาเอาไปฟ้องยูเอ็น ก็ไม่ได้ประหลาดใจอะไรครับ เพราะเขมรฟ้องทุกเรื่องอยู่แล้ว
มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทางยูเอ็นก็คงไม่บ้าจี้หาว่าไทยละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะฝั่งเขมรดูหนังกลางแปลงบ่อยกว่าฝั่งไทยอีก
แต่ประเด็นมันอยู่ที่ฝั่งไทยนี้แหละครับ
มันมีคำถามกลับไปหา “สว.อังคณา” วันที่เขมรยิงไทยวันนั้นคุณทำอะไร
วันที่ ๒๔ กรกฎาคมที่ผ่านมา เขมรเปิดฉากยิงไทยด้วยจรวดหลายลำกล้องอัตตาจร BM-21 สร้างความเสียหายให้ไทยหลายจุด
โดยเฉพาะที่ปั๊ม ปตท.สาขาน้ำเย็น และเซเว่น อีเลฟเว่น ในเขตหมู่บ้านน้ำเย็นใต้ หมู่ที่ ๙ ตำบลเมือง อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ มีผู้เสียชีวิต ๘ ราย หนึ่งในนั้นเป็นเด็กชายวัย ๘ ขวบ
๒๔ กรกฎาคม “สว.อังคณา” โพสต์ข้อความในสื่อโซเชียลเช่นกันครับ
“…ไม่เห็นด้วยกับการปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชน ในพื้นที่ขัดแย้ง หรือพื้นที่สู้รบ ข้อมูลหลักฐานต่างๆ มีความสำคัญต่อข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ในบางเรื่องที่เปราะบางและอาจเกี่ยวกับความมั่นคง อาจพิจารณาไม่เผยแพร่ต่อสาธารณะ
อย่างไรก็ดี กองทัพและกลาโหมจำเป็นต้องรายงานต่อสภาเพื่อทราบ และให้ข้อเสนอแนะ สิ่งที่ต้องกังวลคือการทำหน้าที่ของสื่อในสถานการณ์ความขัดแย้ง สื่อรวมถึงบรรดาอินฟลูต่างๆ ต้องระมัดระวังการนำเสนอ ต้องมีความเป็นกลางในการบันทึกและรายงานข้อเท็จจริง ไม่นำเสนอในทางยั่วยุซึ่งจะทำให้ความขัดแย้งลุกลามบานปลาย…
ทั้งนี้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องระหว่างประเทศ ซึ่งต้องแก้ไขระดับประเทศ ในส่วนของประชาชนทั้ง ๒ ประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน ควรรักษาและประคับประคองความสัมพันธ์ในฐานะมิตรประเทศที่พึ่งพาและเกื้อกูลกันมายาวนาน …ไม่ว่าจะขัดแย้งกันแค่ไหน
#การรักษาชีวิตของผู้บริสุทธิ์คือสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องเคารพและให้ความสำคัญ…”
แทนที่ “สว.อังคณา” จะประณามเขมรจงใจยิงเป้าหมายพลเรือนไทย และมีคนไทยชีวิตนับสิบคน แต่กลับไปให้ความสนใจเรื่อง ที่กองทัพยืนยันว่าเขมรยิงก่อน และขอความร่วมมือไม่ให้เผยแพร่ภาพปฏิบัติการทางทหารมากกว่า
ไม่ทราบว่าจงใจแสดงความเห็นแบบนี้ หรือลืมไปว่า ในแง่สิทธิมนุษยชนนั้น การที่ทหารประเทศหนึ่งสังหารพลเรือนอีกประเทศหนึ่งคือเรื่องที่ยอมไม่ได้
แต่จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ถือว่า “สว.อังคณา” พลาดครับ
มิใช่พลาดธรรมดา
ในแง่นักสิทธิมนุษยชน คนทำงานด้านมนุษยชน มาอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปี ถือว่าพลาดอย่างใหญ่หลวง
ส่วนพลเรือนไทย คนดัง อินฟลูเอนเซอร์ ควรจะรู้ไว้ว่าทุกฝ่ายต่างมีหน้าที่ของตัวเอง
แม้ประชาชนก็มีสิทธิ์ปกป้องประเทศ แต่บางสถานการณ์ก็ไม่ควรล้ำเส้น โดยเฉพาะความขัดแย้งตามแนวชายแดนแบบนี้ สิ่งที่ทำคิดว่าดีแล้ว แต่อาจเกิดผลเสียกับประเทศในอนาคต
การอ้างว่าทหารไม่ทำขอทำเอง ก็ควรกลับมาคิดเสียใหม่ เพราะภาครัฐ กองทัพจะทำอะไรเขาทำภายใต้เงื่อนไข ข้อมูล และกฎหมายระหว่างประเทศ
จะไปทำแบบมวยวัดไม่ได้
รู้ว่ารักชาติ รักแผ่นดิน แต่ควรเพลาๆ ลงหน่อย
เรื่องนี้รัฐบาลเองก็ไม่กล้าพูด คงกลัวเสียคะแนน
แต่ถ้าไม่มีใครเตือนเลยสุดท้ายไทยก็ไม่ต่างจากเขมร ที่เราไปกล่าวหาเขาว่าใช้ประชาชนตัวเองเป็นโล่มนุษย์ เมื่อเขมรมองมาฝั่งไทยเขาก็อ้างได้เช่นกันว่า…
ทหารไทยใช้พลเรือนรบแทน.
