8 ตุลาคม 2568 — รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ให้ความเห็นถึงโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จะเริ่มโอนเงินให้ประชาชนในเดือนตุลาคมนี้ว่า เป็นนโยบายเศรษฐกิจเชิงพัฒนาที่ผสานผลประโยชน์ของรัฐ ประชาชน และผู้ประกอบการรายย่อยเข้าด้วยกัน
“คนละครึ่งพลัส ไม่ใช่โครงการแจกเงินแบบไร้ยุทธศาสตร์ หรือแค่ทำไป เพื่อหวังคะแนนเสียง แต่เป็นเครื่องมือสร้างเศรษฐกิจที่ทำให้เงินหมุนเวียนจริงในระบบ ทั้งประชาชนได้ประโยชน์และผู้ประกอบการก็อยู่ได้”
รศ.ดร.โอฬาร อธิบายว่า จุดเด่นของโครงการคือแนวคิด “รัฐช่วยครึ่ง ประชาชนจ่ายครึ่ง” ซึ่งทำให้ผู้เข้าร่วมโครงการมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ประชาชนจะตระหนักถึงคุณค่าของเงิน ขณะเดียวกันเงินที่รัฐสมทบก็จะหมุนกลับสู่ร้านค้าและผู้ประกอบการรายเล็กในชุมชน
โดยสิทธิ์ในโครงการแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ประชาชนทั่วไปนอกระบบภาษี ได้รับสิทธิ์ 2,000 บาท ผู้อยู่ในระบบภาษี ได้รับสิทธิ์ 2,400 บาท ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกว่า 13 ล้านคน ได้รับเงินเพิ่มอีก 1,700 บาท รวมเป็น 2,000 บาทต่อคน
เกิด ประโยชน์ต่อประชาชนและผู้ประกอบการ โครงการนี้ช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชนรายได้น้อย สามารถซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ลดภาระค่าใช้จ่าย และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจครัวเรือน ขณะเดียวกันผู้ประกอบการรายย่อยได้รับผลดีจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น รายได้หมุนเวียนในพื้นที่สูงขึ้น เกิดการจ้างงาน และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
นอกจากนั้น ยังเป็นการ วางรากฐานเศรษฐกิจระยะยาว รศ.ดร.โอฬาร ย้ำว่า “คนละครึ่งพลัส” แตกต่างจากโครงการแจกเงินทั่วไป เพราะ 1. ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการจ่าย 2. เงินหมุนเวียนจริงในระบบผ่านร้านค้าชุมชน 3. กระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องถึงแรงงานและผู้ผลิต 4. สร้างผลประโยชน์ระยะยาวต่อเศรษฐกิจฐานราก
“นี่คือการพัฒนาเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วม (Participatory Economy) ที่ประชาชนไม่เพียงรอรับความช่วยเหลือ แต่กลายเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจร่วมกับรัฐ”.