เปลว สีเงิน
“พระเอกในหัวใจคนไทย” ต่อจาก “พลโท บุญสิน พาดกลาง” ขณะนี้ ก็คือ
“นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว”
รัฐมนตรีต่างประเทศ ที่ใช้ความเป็นสุภาพบุรุษนักการทูตไปสปีชตบกะโหลก “นายปรัก สุคน” รัฐมนตรีต่างประเทศเขมรจอมสับปลับคว่ำคาเวทีสหประชาชาติมาสดๆ ร้อนๆ ท่านนี้เอง
ชั่วโมงนี้….
ไปทางไหนได้ยินแต่เสียงชื่นชม สีหศักดิ์ดุจราชสีห์บนเวทีโลก ชาวบ้านร้านตลาดต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
“๒ ปีกว่า ประเทศไทยเพิ่งมี “รัฐมนตรีต่างประเทศ” เป็นหน้าเป็นตาในยุค “รัฐบาลอนุทิน” นี่เอง!”
มีแต่ “นายไพศาล พืชมงคล” ศาสดาสารพัดพิษคนเดียวมั้ง ที่ทำตัวเป็น ส.ท.ร.คนที่สอง ออกมาโพสต์เป็น “ไอ้เข้ขวางคลองว่า”
“สีหศักดิ์”ไปประชุม UN ในฐานะอะไร ยังไม่แถลงนโยบาย เสี่ยงขัด รธน.”
เท่านั้นแหละ “เกี๊ยะ” ปลิวว่อนจากทุกสารทิศไปหา “ศาสดาสารพัดพิษ” ทันที!
เจ้าตัวจึงต้องออกมาโพสต์เป็นการแก้เกี๊ยะว่า
“การพูดโจมตีเขมรในเวทีสหประชาชาติ ย่อมถูกใจคนไทย แต่อาจไม่ใช่เรื่องจำเป็นหรือเรื่องเร่งด่วน อันจะเป็นข้อยกเว้นตามรัฐธรรมนูญ
แต่ถ้าถือว่าถูกใจแล้วเป็นเรื่องจำเป็น เร่งด่วน และยกเว้นรัฐธรรมนูญได้ ก็ไม่ว่าอะไรกันครับ
ถ้าเทียบกับการสร้างกำแพงป้องกันไม่ให้เขมรเอาระเบิดเข้ามาวางในเขตไทย ทำร้ายทหารไทยเกือบทุกวัน อย่างไหนจำเป็นเร่งด่วนกว่ากันเล่า”
โน่น…เฉไฉไปน้ำขุ่นๆ เรื่องสร้างกำแพงโน่นเลย!
เรื่องท่านสีหศักดิ์ไป UN กับเรื่องสร้างกำแพง มันคนละเรื่องกันนะท่าน ส.ท.ร.หัวหลิม
เขินจนแก้ตัวไม่ถูกละซีท่า เหมือนนุ่งผ้าขะม้าตอนอาย ก็รีบยกชายผ้าที่นุ่งขึ้นปิดหน้า ปล่อยท่อนล่างโล่งโทงเทง!
ฟังเลขาธิการนายกรัฐมนตรี “ใหม่แกะกล่อง” น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล ชี้แจง เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันซักหน่อยก็ได้
“ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อ ๒๔ กันยา.นายสีหศักดิ์ รายงานว่า ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี ให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วม UNGA 80
เพื่อภารกิจเร่งด่วน โดยเฉพาะการชี้แจงท่าทีของไทยในประเด็นความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา
เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายกัมพูชาใช้เวทีโลกนำเสนอข้อมูลเพียงฝ่ายเดียว
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ขอความเห็นจาก “สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา” ได้รับการยืนยันว่า
แม้มาตรา ๑๖๒ ของรัฐธรรมนูญจะกำหนดให้ต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
แต่มาตรา ๑๖๒ วรรค ๒ ได้อนุญาตให้คณะรัฐมนตรีสามารถดำเนินการได้ทันที หากเป็นเรื่องสำคัญ และจำเป็นเร่งด่วนที่กระทบต่อประโยชน์ของประเทศ
“ชัด-ครบ-จบนะ” ท่านศาสดาสารพัดพิษ!
เมื่อวานและวันนี้ (๒๙-๓๐ ก.ย.) เป็นช่วงเวลาที่ “นายกฯ อนุทิน” แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา
พุธที่ ๑ ตุลา.๖๘ รัฐบาลเสียงข้างน้อยและอายุน้อยแค่ ๔ เดือน ก็จะได้เข้าบริหารราชการงานเมืองกันเต็มตัวซะที
หรือ “ศาสดาไพศาล” จะบอกว่า “ยังเข้าบริหารไม่ได้ จนกว่าได้สร้างกำแพงเสร็จก่อน?”
ช่วงนี้ เป็นช่วงรอยต่อเปลี่ยนถ่ายผู้นำเหล่าทัพ สถานการณ์ชายดนไทย-เขมร ดูท่าที “เขม็งเกลียว” พร้อมติ๊ดชึ่งกันได้ทุกเวลา
ทั้งด้านกองทัพเรือ ที่ตราด ด้านกองทัพบก ที่ ภูมะเขือ ช่องบก ตลอดแนวอีสานใต้ และที่ภาคตะวันออก ที่บ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว สระแก้ว
“กองทัพเรือ” นี่ “พูดน้อย-แต่ต่อยเลย”
กรณีบ้าน ๓ หลัง ที่เขมรรุกล้ำเข้ามาปลูกบ้านในเขตไทย ฝั่งตรงข้าม บ้านหนองรี ตำบลชำราก เมืองตราด
ยื่นคำขาดให้รื้อถอนออกไป เขมรทำดื้อแพ่ง แต่สุดท้าย ยอมรื้อออกไปหลังเดียว แต่อีก ๒ หลังไม่ยอมรื้อ
เมื่อวาน (๒๙ ก.ย.) “พลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์” รองโฆษกกองทัพเรือ แถลงว่า
กองทัพเรือ โดย “กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด” (กปช.จต.) ผลักดันกำลังฝ่ายตรงข้ามหนีเตลิด และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบ้าน ๓ หลังเอง เรียบร้อยแล้ว!
สำหรับจุดที่พบว่ายังมีการรุกล้ำเหลืออยู่ ทางกองทัพเรือจะใช้ความพยายามอย่างที่สุดต่อไป เพื่อเอาแผ่นดินไทยกลับคืนมา
ส่วนทางกองทัพภาค ที่ ๒ ช่วงนี้ ทหารแนวหน้าของเราเจอ “บัวลอย” ถล่มซ้ำหนักหน่อย กินข้าวเคล้าน้ำฝน ยังต้องนอนเปลเอาตูดแช่น้ำ
ฝั่งเขมร ก็ระดมกำลังตรึงแนว ขนปืนเล็ก-ปืนใหญ่ หันปากกระบอกจ่อมาทางไทย คงกะว่า แม่ทัพบุญสินไป จะได้ยิงฉลองใหญ่ประมาณนั้น
สรุปว่า สถานการณ์ทั้งด้านตะวันออกและอีสานใต้ ยังไม่น่าไว้ใจ พร้อมระเบิดได้ทุกขณะ
แต่ขวัญกำลังใจชาวบ้าน ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลฯ บุรีรัมย์ ดีเยี่ยม แทนที่จะกลัว กลับบอก “บ้านพังไม่ว่า ขอให้ลุยเอามันให้จบไปเลย”!
เมื่อชาวบ้าน “ได้ใจทหาร” และทหาร “ได้ใจชาวบ้าน” ผมว่า…ประเทศไทยเราไม่ต้องกลัวว่าหน้าไหนจะมาย่ำยีทำลายไทยได้ เชื่อผมเหอะ!
เออ…แล้วเมื่อวานได้ดูถ่ายทอดสดการแถลงนโยบายของรัฐบาลในรัฐสภากันบ้างหรือเปล่า?
สำหรับผม ฟังบ้าง ไม่ได้ฟังบ้าง เท่าที่ฟัง ผู้อภิปรายบางท่านก็ติชมด้วยหวังดี ก็มีบางท่าน-บางพรรค ติอย่างเดียวด้วยหวังร้าย
มีคนชมว่า “หนู” เมื่ออยู่ในบท “นายกฯ อนุทิน” รังสีผู้นำบริหารเจิดจ้า ลุกขึ้นโต้กลับฝ่ายแค้นในซีกฝ่ายค้าน “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” พรรคเพื่อไทย ได้สุภาพ-แต่เผ็ด
จะยกตัวอย่างเป็นน้ำจิ้มซักตอน-สองตอน ที่นายกฯ อนุทินโต้นพ.ชลน่าน
“ที่นพ.ชลน่านระบุว่า ดูแล้วขาดอนาคตประชาธิปไตย ซึ่งผมมองเห็นต่างกับนพ.ชลน่าน
ผมมองว่าจากนี้ไปรัฐบาลนี้จะวางรากฐาน วางแนวทางแบบอย่างที่ดี ในการที่จะเป็นรัฐบาลที่จะทำให้อนาคตของประชาธิปไตยมีความสด
อย่างน้อยนายกฯ คนนี้ จะไม่มีใครบงการได้ ตัดสินใจเอง คิดเอง แล้วหารือกับครม.และสมาชิกรัฐสภา ในการตัดตัดสินใจทำประโยชน์สูงสุดให้ประเทศและประชาชน”
ที่กล่าวหารัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ ท่านพูดไม่ผิด เวลา ๔ เดือนก่อนยุบสภา
นับไป ๔ เดือน คือวันที่ ๓๑ มกรา.๖๙ ยุบสภาแน่นอน
ดังนั้น รัฐบาลชุดนี้ เป็น “รัฐบาลเฉพาะกิจ”
แต่มีติ่งท้าย ที่ผมขอทำและทำให้สำเร็จ คือจะเป็น “รัฐบาลเฉพาะกิจ” ที่ต้องเข้ามา “แก้ไขความเสียหายของประเทศที่เกิดขึ้นจากรัฐบาลที่แล้ว”!
“บางทีการทำงานนั้น ทุกคนมีความรู้ ความสามารถ แต่ต้องไม่เปรียบกัน บางทีพอ “ท่านทำไม่ได้” แล้วไปคิดว่า “คนอื่นทำไม่ได้ด้วย” มันก็ไม่ถูก
ผมก็ไปดูว่า ตอนที่ท่านมาอยู่กระทรวงสาธารณสุขประมาณ ๗ เดือน กับผมก็อยู่ที่กระทรวงสาธารณสุข ๗ เดือน
ผมมั่นใจว่า ผมได้ทำอะไรเยอะมาก ทั้งโควิด เหตุการณ์วิกฤตด้านสาธารณสุข ผมจึงอาจมีบทบาทมากกว่าที่ท่านดำรงตำแหน่งอยู่
ท่านพูดถึงเรื่องผลประโยชน์ส่วนใหญ่ในนโยบายของรัฐบาลนี้ ไม่ตรงกับความต้องการของประชาชน
ผมมองต่างนิดนึงคือ…..
“รัฐบาลนี้ยกเลิกกาสิโน เรายกเลิกเอนเทอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ไม่เอาเงินดิจิทัล ๑๐,๐๐๐ บาทไปให้ประชาชนเฉยๆ
แต่เราใช้วิธีการมีส่วนร่วม เราไม่มอมเมาพี่น้องประชาชนด้วยการพนัน เราไม่ขยายตัวทางเศรษฐกิจด้วยธุรกิจการพนัน
ผมมั่นใจว่า พี่น้องประชาชนส่วนใหญ่เห็นตรงกับรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ “พรรคภูมิใจไทย” ถูกเชิญออกจากการร่วมรัฐบาลเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
เพราะพวกเราไม่เห็นด้วยกับแนวทางของรัฐบาลในขณะนั้น”
ผมขอเคลมว่า ผมเคารพศรัทธาเสมอกับนโยบาย “๓๐ บาทรักษาทุกโรค”
แต่ “๓๐ บาทรักษาทุกที่” อนุทินครับ… ไม่ใช่ชลน่าน
ทำมาตั้งแต่กระทรวงสาธารณสุข ๔ ปี เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขยาวนานที่สุด ในการทำงานของรัฐมนตรีหลายสิบคนที่ผ่านมา
ผมใช้เวลาประสานกับ “สำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ” ฟอกไตฟรี
แต่เสียดาย รัฐบาลชุดที่แล้วเอา “ฟอกไตฟรี” ทั้งหมดออกไป เหลือบางส่วน
ใน ๔ เดือนนี้ ผมจะเอากลับมา รมว.สาธารณสุข จะต้องทำให้ผมเห็นภายใน ๒ เดือน จริงๆ ต้องสั้นกว่านั้น
ไม่เช่นนั้น ผมจะต้องไปเป็นรมว.สาธารณสุขเอง
“ท่านบอกมีการพยายาม ดึง…ซื้อ ตัวเลข ๑,๐๐๐-๒,๐๐๐ รวมกันแล้วหลายล้าน ตัวเลขเหล่านี้ สำหรับผม ถือเป็นตัวเลขอัปมงคล
มีความพยายามมีตัวเลขนี้มาทำให้คนในพรรคฝ่ายค้านหลายคนสมัยนั้นไขว้เขว
แต่โชคดีที่ทุกคนเห็นว่าไม่เป็นมงคล เป็นตัวเลขที่เอาไปแล้ว ไปทำให้อนาคตของประชาธิปไตยมืดมน
แต่คนที่ทำ “เป็นคนในฝั่งรัฐบาล” ตอนนั้น ไม่ได้มาจากพรรคภูมิใจไทยแน่นอน
ผมขอให้มั่นใจ ผมเคยอยู่ในรัฐบาลเดียวกับท่าน นโยบายต่างๆ ผมพยายามที่จะสนองทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องที่ไปแตะความมั่นคงของประเทศ ความเสียหายของประเทศ และคุณภาพชีวิตของประชาชน
ผมจึงตัดสินใจที่ “ไม่ร่วมนโยบาย” กับท่าน จึงเป็นเหตุที่ถูกเชิญออกมา ทำให้ประชาชนทราบว่า
“พรรคไหนที่คิดถึงประโยชน์ของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง”!
ส่วนที่บอกว่า “นโยบายของรัฐบาลนี้ เป็นปัญหามากกว่าทางออก”
ผมและครม.ทั้ง ๓๖ คน ตอบแทนได้ว่า…ไม่ใช่
นโยบายและการกระทำของรัฐบาลชุดนี้ ครม.ทุกคนต้องทำงานอย่างหนัก ผลักดันทุกนโยบายให้เป็นทางออกประเทศ
ขอย้อนคำพูดว่า เราเคยอยู่ด้วยกัน ๒๐ กว่าปีก่อน ผมอยู่ในรัฐบาล ที่มีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ
เมื่อไรก็ตาม ที่มีการประชุมครม.มีการพูดถึงปัญหา ทั้งที่เป็นสิ่งที่ต้องทำ ตอนนั้น ผมเป็นรัฐมนตรีแล้ว ขณะที่นพ.ชลน่าน เป็นเลขานุการรมว.สาธารณสุขอยู่ เราทำงานด้วยกัน
“ผมจำมาถึงวันนี้ ว่า “นายกฯ ทักษิณ มักไม่พอใจกับครม.ที่นำเอาปัญหามาเป็นข้อแก้ตัวในการทำงาน”
ตั้งแต่วันนั้น ผมบอกกับตัวเองว่า “จะไม่มีวันให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นกับผม” เมื่อใดก็ตาม ถ้ามีปัญหาเช่นนี้ ท่านจะปิดไมค์คนนั้น แล้วพูดว่า
“จำไว้นะ ผู้แพ้จะเห็นปัญหาในทุกทางออกและผู้ชนะจะเห็นทางออกในทุกปัญหา”
ทั้งนี้ตัวผมและครม.ทั้ง ๓๖ คนเป็นอย่างหลัง ชนะไม่ชนะไม่รู้ แต่พวกผม “เห็นทุกทางออกในทุกปัญหา”
…………………………………
ครับ…วันนี้ ๓๐ กันยา. “สิ้นปีงบประมาณแผ่นดิน” พรุ่งนี้ ขึ้นปีใหม่ในระบบราชการ คือตั้งแต่ ๑ ตุลา.เป็นต้นไป
แต่ขอบอก “เริ่มตุลา.” ขอทุกท่าน “เริ่มทำใจ” เพื่อพร้อมเผชิญเหตุการณ์ ในมิติ
“ทำลายล้างเพื่อสร้างสิ่งใหม่” กันไว้ด้วย!
เปลว สีเงิน
๓๐ กันยายน ๒๕๖๘
