ผักกาดหอม
ยังไม่ทันนับหนึ่ง ก็เห็นจุดจบแล้ว
วานนี้ (๒๔ กันยายน) พรรคภูมิใจไทยยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อประธานรัฐสภาแล้ว
ดูเนื้อหาแล้วเสียวแทน
๑.กลุ่มที่ลงสมัครจากจังหวัดต่างๆ ให้รัฐสภาเลือกจังหวัดละ ๑ คน รวม ๗๗ คน
๒.กลุ่มผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์ ๒๒ คน
แบ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน ๗ คน
ผู้เชี่ยวชาญสาขารัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์ จำนวน ๗ คน
และผู้มีประสบการณ์ด้านการเมือง การบริหารราชการแผ่นดินหรือการร่างรัฐธรรมนูญ ตามเกณฑ์ที่ประธานรัฐสภากำหนด ๘ คน
อีกประเด็นคือผิดคาด!
พรรคภูมิใจไทย กำหนดให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๒๕๖ ปรับสัดส่วนของจำนวนเสียง สว. ที่จะร่วมลงมติเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระแรก และวาระสาม
จากเดิมที่กำหนดให้ต้องเห็นชอบไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๓ จากจำนวน สว.ที่มีอยู่ของวุฒิสภา
แก้เป็น ไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๕ ของจำนวน สว.ที่มีอยู่
เท่ากับว่า สว.มี ๒๐๐ คน จะใช้น้อยลง จากเดิม ๖๗ เสียง เหลือเพียง ๕๐ เสียงเท่านั้น
แบบนี้พรรคส้มคงชอบ
เพราะโอกาสฉีกรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ทิ้ง ดูมีความหวัง
แต่…ย้อนกลับไปที่ที่มาของ ส.ส.ร. ในข้อ ๑ ที่ให้ประชาชนแต่ละจังหวัดสมัครเป็น ส.ส.ร. จากนั้นรัฐสภาจะเป็นคนเลือกให้เหลือจังหวัดละ ๑ คน
นี่คือการตีความว่าให้ประชาชนเลือกทางอ้อม…ก็ว่ากันไป
ประเด็นมันอยู่ตรงที่ให้รัฐสภาเป็นคนเลือก ส.ส.ร. ๗๗ คน
สมาชิกรัฐสภาประกอบด้วย สส. และ สว.
ถึงเวลาเลือก ส.ส.ร. ๗๗ จังหวัดเมื่อไหร่มันยกร่องแน่นอนครับ
จำนวน สส.รัฐบาล เสียงข้างน้อย บวกกับ สว.สีน้ำเงิน มีเท่าไหร่ไม่ทราบ พรรคส้มช่วยตรวจสอบให้หน่อย
หลับตาวันนี้มองเห็นเลยครับว่า ส.ส.ร. หน้าตาจะออกมาอย่างไร
ส.ส.ร.สีน้ำเงินเดินยิ้มมาแต่ไกล!
ถ้าอยากจะแก้รัฐธรรมนูญก็เตือนไว้
แถมร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคภูมิใจไทยห้ามแตะหมวด ๑ หมวด ๒
ก็ชัดเจนนะครับว่าการไปลด จำนวนเสียงโหวตของสว.ในวาระที่ ๑ และ ๓ จาก ๑ ใน ๓ เป็น ไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๕ ขุดบ่อล่อปลาดีๆ นี่เอง
ตอนนี้จึงมีวิธีเดียว พรรคส้มต้องล้มร่างของพรรคภูมิใจไทยซึ่งถือเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลให้ได้
ถ้าไม่สำเร็จ พรรคส้มกำตด!
ยังมีซ้อนมาอีกมุมคือท่าทีของ สว.พันธุ์ใหม่ “นรเศรษฐ์ ปรัชญากร” ไม่ทราบว่าเจตนาอะไร หรือเพราะใสซื่อบริสุทธิ์
เขาบอกแบบนี้ครับ…
“หลักการที่สำคัญของรัฐธรรมนูญ ระบุชัดว่าประชาชนเป็นผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ จึงอยากให้สมาชิกรัฐสภายืนยันหลักการนี้ อย่าเพิ่งประเมินไปเองว่าศาลจะวินิจฉัยอะไรที่ขัดกับหลักการตรงนี้”
ก็ลองเลือกโดยตรงดูสิครับ แล้วจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ครับ…ดูมันช่างสับสนวุ่นวาย เหลี่ยมคูการเมืองซ่อนอยู่เพียบ ยิ่งกว่ากับระเบิดเขมร
ไปดูเรื่องสบายตากันดีกว่า
คำวินิจฉัยกลางศาลรัฐธรรมนูญคดีคลิปลุงวุ้นเส้นกับหนูอิ๊งค์ออกมาแล้วครับ สรุปท่อนสำคัญดังนี้…
“…ดังนั้น การกระทำของผู้ถูกร้องที่ขอความเห็นใจจาก สมเด็จฮุน เซน ไม่ใช่เทคนิคการเจรจาตามที่ผู้ถูกร้องกล่าวอ้าง แต่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยขาดความรอบคอบและระมัดระวัง ซึ่งตามวิสัยและพฤติการณ์ของผู้ถูกร้องซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีควรจะต้องมีวิจารณญาณในการเลือกกระทำการโดยไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญตามหน้าที่ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๖๔ วรรคหนึ่ง (๑)
โดยเมื่อผู้ถูกร้องมีผลประโยชน์ส่วนตัวคือคะแนนนิยมและเสถียรภาพของรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องด้วยกับการปฏิบัติหน้าที่ ผู้ถูกร้องกลับไม่คำนึงถึงและยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง การกระทำดังกล่าวเป็นการลดทอนหรือทำให้เสียหายซึ่งเกียรติภูมิหรือเกียรติของนายกรัฐมนตรีและประเทศไทย
เพราะเกียรติภูมิหมายความว่าเกียรติที่ได้รับการยกย่องจากสังคมหรือนานาประเทศ และความยกย่องนับถือของประเทศชาติอันเป็นสิ่งที่ประชาชนทุกคนภาคภูมิใจ ทำให้ประชาชนชาวไทยได้รับความเสียหายที่ขาดความภูมิใจและความไว้วางใจในนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้นำของประเทศ อันมีลักษณะเป็นการไม่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ
และเป็นการถือเอาประโยชน์ส่วนตนเหนือกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติ อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ
รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. ๒๕๖๑ หมวด ๑ ข้อ ๖ และข้อ ๗ ซึ่งข้อ ๒๗ วรรคหนึ่ง ให้ถือว่ามีลักษณะร้ายแรง
นอกจากนี้ แม้ผู้ถูกร้องจะกล่าวอ้างในคำชี้แจงว่าเป็นการเจรจาแบบส่วนตัวกับผู้นำประเทศคู่กรณีเป็นไปเพื่อการแก้ปัญหาให้บ้านเมืองกลับคืนสู่ความสงบสุข โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรงเข้าจัดการปัญหา อันอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของทหารและประชาชนทั้งสองฝ่าย
แต่เมื่อการกระทำของผู้ถูกร้องดังกล่าวส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรี ทำให้สาธารณชนเกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่าผู้ถูกร้องจะกระทำการใดๆ อันเป็นประโยชน์ต่อกัมพูชามากกว่าการคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ
เป็นเหตุให้สาธารณชนขาดความเชื่อถือศรัทธาต่อความเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกร้อง อันมีลักษณะเป็นการเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และยังเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยไม่ยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรมและปฏิบัติตามกฎหมายโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ
กรณีไม่จำต้องรอให้เกิดการปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชาจึงจะถือว่าได้รับความเสียหายอันจะมีลักษณะร้ายแรง…
…ดังนั้น ผู้ถูกร้องจึงมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันทำให้ผู้ถูกร้องขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๖๐ (๕)…”
ผิดจริยธรรม ทำให้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีประเทศไทยเสียหายร้ายแรงแบบนี้ แต่ “แพทองธาร” ยังเป็นแพรองรับพรรคเพื่อไทย
ยังนั่งตำแหน่งหัวหน้าพรรค
ยังไปช่วยหาเสียงเลือกตั้งซ่อม สส.
ไม่สำนึกอะไรบ้างเลยหรือไร.
