เปลว สีเงิน
ไม่ใช่อาถรรพณ์หรือปรากฎการณ์พิสดารอะไรหรอกครับ!
อะไรๆ ที่มันเกิดตอนนี้…..
มันเกิด “เพราะมันต้องเกิด” ตามเหตุปัจจัยของมันอยู่แล้ว
๒๘ มีนา.๖๘ แผ่นดินไหวที่พม่าลามถึงไทย เขย่ากรุงเทพฯ ครืนครั่นสนั่นหวั่นไหว ยังจำกันได้มิใช่หรือ?
๒๔ กันยา.๖๘ คือเมื่อวาน ถนนหน้าโรงพยาบาลวชิระ สามเสน ทรุดตัวเป็นหลุมกว้างใหญ่
เกิดภาพคล้าย “ธรณีสูบ” ดูดกลืนรถรา-อาคารให้ค่อยๆ ไหลเข้าปากปล่องใหญ่แล้วขยอกจมหายลงใต้พื้นพิภพ
อีกมุมหนึ่งของโลก ในวันเดียวกัน
ที่ “ไต้หวัน-ฮ่องกง-มาเก๊า-จีน” ถูกซูเปอรไต้ฝุ่น “รากาซา” ซัดถล่มหลายเมืองจมน้ำ
ขณะเดียวกัน “กรมอุตุนิยมวิทยา” ของไทย ออกประกาศเตือน ช่วง ๒๔-๒๖ กันยา.
ผลจากรากาซา จะทำให้ฝนจะตกหนักในภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคตะวันออก กรุงเทพฯ และปริมณฑล
ระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง!
สรุป…
ประเด็นที่ผมจะบอกสำหรับบ้านเมืองเราก็คือ ที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปี นั่นแค่ “หนังตัวอย่าง”
ผมไม่มีเซนส์หรือลางสังหรณ์อะไรหรอก แต่จะบอกในความเป็นจริงทางธรรมชาติว่า ทาง “เหนือ-อีสาน” ฝนตกสะสมต่อเนื่องมานานเป็นเดือนแล้ว
สภาพผืนป่า ดินอุ้มน้ำอุ้ยอ้าย เกาะแก่งแอ่งหินตามยอดผาสูง ไม่ต่างหญิงท้อง ๙ เดือน ใกล้คลอด-มิคลอดแหล่
เมื่อต้องเจอพายุฝนต่อเนื่องอีกไม่น้อยกว่า ๒ ลูกกระหน่ำซ้ำ
ดังนั้น….
เพื่อความไม่ประมาท “น้ำป่า” จะทะลัก-ทลาย เกรี้ยวกราด ดุร้าย มาเร็วและมาแรง ชนิดพรวดเดียวมิดหลังคา อย่านึกว่าจะไม่เกิด
ก็ในช่วงเดือนตุลา.นี้แหละ!
บอกเป็นการเตือนภัย ไม่ได้บอกให้ตื่นตระหนก โดยเฉพาะ “รัฐบาล ๔ เดือน” ของนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล
ผมก็เกรงว่า เมื่อเผชิญปัญหาที่ต้องรีบแก้ไขเฉพาะหน้าประดัง-ประเดเข้ามา
ที่สัญญากับ “พรรคประชาชน” ตาม MOA นั้น
เมื่อเจอกับ MOA ของประชาชนที่ไม่ใช่พรรคการเมือง ๒ ข้อ
๑.เรื่องเศรษฐกิจปากท้องเฉพาะหน้า และ
๒.เรื่องชายแดนไทย-เขมร ที่ประชาชนยื่นเงื่อนไข “ต้องให้จบในยุคนี้”
บวกกับมีแนวโน้ม บ้านเมืองจะมีภัยธรรมชาติมาให้รัฐบาลต้องรับมือ
“หนู” คงต้อง “คิดหนัก” หน่อยนะ!?
ว่าเรื่อง “แก้เพื่อฉีก” รัฐธรรมนูญ “ฉบับปราบโกง” ไปสู่การตั้งสสร.เขียนรัฐธรรมนูญใหม่เป็น “ฉบับตามใจพวกกู” เป็นวาระเร่งด่วนนั้น
อย่างไหนจะสำคัญและเร่งด่วนกว่ากัน?
ที่รัฐบาลต้องทำก่อนใต้กรอบเวลา ๔ เดือน ระหว่าง MOA พรรคประชาชน กับ MOA ประชาชนคนไทย!?
ก็ฝากไว้เผื่อนายกฯ มีเวลาเหลือคิด
เพราะผมเห็นว่า ขณะนี้ ในปัญหาชายแดน ดูท่าทีเขมรแล้วไม่ต่าง “ปืนที่ง้างนก” เพียงรอสัญญาน “สับไก” ลั่นกระสุนเท่านั้น
ทุกข้อตกลง เขมรเบี้ยวหมด
ทุกการเผชิญหน้าเพื่อนั่งเจรจากัน เลื่อนหมด!
“พลตรี วินธัย สุวารี” โฆษกองทัพบก แถลงเมื่อวาน(๒๔ ก.ย.)
“ที่ผ่านมา “กองทัพบก”ดำเนินการตามกรอบการเจรจามาโดยตลอด แต่ก็ลำบากใจเช่นกัน
เพราะกัมพูชา “ไม่ได้ให้ความร่วมมือ” เท่าที่ควร
นับว่า “ถึงเวลาแล้ว” ต้องดำเนินการ “ยกระดับ” ให้มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น
เพราะวันนี้ ไม่มีหลักประกันอะไรที่ชัดเจนอยู่แล้ว
สถานการณ์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาต้องพิจารณาเหตุการณ์ในระดับพื้นที่ ระดับบุคคล ตามที่แม่ทัพภาคที่ ๒ ระบุ หากมีการรุกล้ำก็ให้ “ใช้อาวุธ” ได้ทันที!”
และเมื่อเหลือบดูสถานการณ์ที่ “บ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว” จังหวัดสระแก้ว ต้องบอกว่า
เมื่อเขมร “แข็งกร้าว-ยืนกราน” ว่าบ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว เป็นของเขา ไม่ยอมถอยกลับ คืนแผ่นดินให้ไทยตามที่ผู้ว่าฯ สระแก้วกำหนด “เขมรต้องออกไปก่อน ๑๐ ตุลา.”
บรรยากาศตอนนี้ สระแก้ว “เขม็งเกลียว” ร้อนฉ่า
“พลตรี สุรวิชญ์ แดงจันทร์” เสนาธิการกองทัพภาคที่ ๑ ในฐานะโฆษกกองทัพภาคที่ ๑ แถลง
“กองทัพภาคที่ ๑ ขอเลื่อนการประชุม “กรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค” (RBC) ระหว่างกองทัพภาคที่ ๑ กับภูมิภาคทหารที่ ๕ ของกัมพูชา ช่วง ๒๕-๒๗ กันยา.ไปเป็นเดือนตุลา.
เพราะข้อมูลของ ๒ ฝ่ายยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร ทั้งเรื่องปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์และการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ยังไม่มีข้อมูลความคืบหน้ามานำเสนอมากนัก จึงให้เลื่อนการประชุมไปก่อน”
ทางพื้นที่แนวหน้าเมื่อวาน (๒๔ ก.ย.) พล.ต.เบญจพล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา พร้อมด้วย
นายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าฯ สระแก้ว และ พล.ต.ต.ถาวร ดุลยวิทย์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว
ลงตรวจ “ความพร้อม” ของหน่วยปฏิบัติการชายแดนกำลังพล ๓ ฝ่าย “ทหาร-ตำรวจ-อส.” เตรียมการบังคับใช้กฎหมายตามมาตรการป้องกันชายแดน
ติดตามการก่อสร้างถนนเพื่อความมั่นคง การสร้างบังเกอร์กันจอมพลังเสริมระบบป้องกันภัย
ติดตามการเทลูกรังกว่า ๙๐๐ ตัน ของหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา เพื่อสร้างถนนเชื่อมชุมชนในพื้นที่แนวชายแดน
“ขณะนี้ เป็นช่วงคุมเชิงสถานการณ์ ……
ขอความร่วมมือสื่อมวลชนให้ระมัดระวังการนำเสนอข่าว เพราะเขมรเฝ้าติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด…….
…….หากเกิดความรุนแรง ก็พร้อมบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด” พล.ต.เบญจพลย้ำ
ทางด้าน “นายปริญญา” ผู้ว่าฯ สระแก้ว บอกนักข่าวว่า
“ที่ผ่านมา จังหวัดสระแก้วประกาศชัดเจนแล้วว่า หากฝ่ายกัมพูชาไม่ส่งแผนอพยพ ก็จะไม่มีการพูดคุยกันในระดับจังหวัด
ต้องไปหารือกันที่ GBC เท่านั้น ยืนยันว่าฝั่งไทยยังไม่มีการก่อสร้างบ่อนกาสิโนใดๆ
ส่วนการผลักดันผู้ที่รุกล้ำ ต้องดำเนินการหลังวันที่ ๑๐ ตุลาคม ตามกระบวนการ ไม่ใช่ใช้วิธีรุนแรง เพราะไทยอาจเสียเปรียบในเวทีโลก
ขณะนี้ ได้ยกระดับเรื่องขึ้นสู่รัฐบาลแล้ว ฝ่ายไทยมีความพร้อมทั้งกำลังพลและกฎหมาย
โดยเฉพาะการจัดการกับการเข้าเมืองผิดกฎหมาย ส่วนการเปิด–ปิดด่าน เป็นอำนาจที่ต้องให้นายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศหารือกัน”
นี่ผมเก็บบรรยากาศมาเล่าเพื่อให้ท่านเห็นว่า ตอนนี้ทางฝ่ายไทย ทั้งกองกำลังบูรพา ตำรวจ ฝ่ายจังหวัด ตื่นตัว “เตรียมพร้อม” ผลักดันเขมรออกไปจากพื้นที่เต็มพิกัด
ตามแผน “จากเบาไปหาหนัก” ชนิด พูดจริง-ลงมือจริง-เจ็บจริง หลังจากเส้นตาย “วันที่ ๑๐ ตุลา.” เป็นต้นไป
หากเขมรยังดื้อแพ่ง ไม่ยอมถอยออกไปจากแผ่นดินไทย
มึงเจอ “ของจริง” ละทีนี้!
ผมฟังท่านผู้ว่าฯ ปริญญาพูดกับนักข่าว ต้องบอกว่า “ผู้ว่าฯ ท่านนี้มีกึ๋นไม่เบาเลยเลยทีเดียว”
ท่านพูดด้วยสีหน้าแววตาจริงจังใจความว่า “เมื่อพูดกันแล้วไม่เข้าใจ ตอนนี้ก็ไม่ต้องคุยกันแล้ว มาขอให้ผมไปเจรจากับเขาทางฝั่งโน้น ผมไม่ไปหรอก งั้นเขาขอคุยทางโทรศัพท์ ผมก็ไม่คุยด้วย”
นักข่าวถาม “ทำไมไม่คุย?” ท่านผู้ว่าฯ ปริญญาตอบว่า
“ไม่เอาหรอก ผมพูดภาษาเขมรไม่เป็น เขาก็พูดภาษาไทยไม่เป็น คุยแล้วเดี๋ยวอัดคลิปไปดัดแปลงละก็ยุ่งเลย”
เรียกเสียงฮาจากนักข่าวและผู้คนที่รายล้อมได้ตูมเบ้อเร่อ!
ท่านยังบอกว่า หลังวันที่ ๑๐ ตุลา…..
ถ้าเขายังไม่ออกจากพื้นที่ ใช่ว่าทางเราจะบุกเข้าไปรื้อถอนอะไรโครมครามทันที ทำอย่างนั้น จะทำให้เราเสียเปรียบในเวทีโลก
ต้องรอรัฐบาลใหม่ตั้งคณะกรรมการระดับ JBC ไปเจรจากันให้ถูกตามขั้นตอนและกฎกติกาก่อน
ถึงตอนนั้น ถ้ายังดื้อแพ่ง ก็เป็นความชอบธรรมที่ไทยจะใช้มาตรการจัดการ “ผู้รุกล้ำเป็นภัยคุกคามความมั่นของประเทศ”
อืมมมม…ก็ถูกของท่าน
การตบตีกัน สุดท้ายใครผิด-ใครถูก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุผลแห่งการกระทำเสมอไป หากแต่ขึ้นอยู่กับผลสอบว่า “ใครลงมือกระแทกหน้าใครก่อน?” นั่นด้วย!
เพื่อไม่ให้เสียเปรียบเชิงกลในเวทีโลก และด้วยวุฒิภาวะของไทย “หมากัดไม่จำเป็นต้องลงไปกัดกับหมา”
มันมีหลากวิธีที่จะใช้ “กำราบหมา”……
โดยเป็นไปตามขั้นตอนตามกติกา จะไม่ทำให้เกิดเสียงครหาว่า “ไทยเก่งแต่เตะหมาจรจัด” อย่างเขมร!
แต่เออออ…มีคนถามผมว่า “ทุกวันนี้ กองทัพบกมี “ผบ.ทบ” หรือไม่”?
เพราะไม่เคยเห็นบทบาท ไม่เคยได้ยินออกมาพูดจาสื่อสารกับชาวบ้านที่สับสนในทิศทางและในบางข้อเท็จจริงเลย!?
ขอตอบว่า มีครับ..กองทัพบกมี “ผบ.ทบ.” แน่นอน
แต่ท่านชื่ออะไร ขอเวลาผมไปค้นหาในกูเกิลก่อน แล้วจะมาบอกนะครับ!
เปลว สีเงิน
๒๕ กันยายน ๒๕๖๘
