ผักกาดหอม
บางคนบอก…โยนหินถามทางไปงั้นแหละครับ…
เรื่องปรับคณะรัฐมนตรีที่พรรคเพื่อไทยจะยึดกระทรวงมหาดไทยไปจากพรรคภูมิใจไทย ตามที่ “เสือกทุกเรื่อง” ทิ้งระเบิดเอาไว้
เพราะฟังสุ้มเสียงจาก “อนุทิน ชาญวีรกูล” แล้วยากที่จะเกิดขึ้น
ราคาที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ต้องจ่ายนั้นแพงเกินไป
จะเอาเก้าอี้กระทรวงมหาดไทยแลกกับเสถียรภาพของรัฐบาล ดีดลูกคิดสิบตลบ ยังไงก็ไม่คุ้ม
จึงพากันสรุป ณ ตอนนี้เก้าอี้เจ้ากระทรวงมหาดไทย ไม่น่าจะขยับอะไร
ยอมให้พรรคภูมิใจไทยอยู่ร่วมรัฐบาลไปจนครบเทอมโดยไม่ไปแตะต้อง เป็นทางเลือกที่เป็นไปได้มากกว่าที่จะหักดิบ
สถานการณ์ของรัฐบาลแพทองธาร ณ ขณะนี้ เปราะบางอย่างที่สุด การปรับ ครม.ก็ไม่อาจช่วยให้อะไรดีขึ้นมาได้ มิหนำซ้ำจะเพิ่มแรงกดดันให้พรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ โดยเฉพาะพรรครวมไทยสร้างชาติ
ที่สถานะตอนนี้กลายเป็นพรรคคนละครึ่ง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลเลย
เอาแค่เรื่องปรับ ครม.อย่างเดียว “อุ๊งอิ๊ง” ก็เจอศึกหลายด้านแล้วครับ
รัฐบาลมี สส.รวม ๓๒๒ ที่นั่ง
พรรคเพื่อไทย ๑๔๒
ภูมิใจไทย ๖๙
รวมไทยสร้างชาติ ๓๖
ประชาธิปัตย์ ๒๕
ชาติไทยพัฒนา ๑๐
ประชาชาติ ๙
ชาติพัฒนา ๓
ไทรวมพลัง ๒
ท้องที่ไทย ๑
พลังสังคมใหม่ ๑
และพรรคน้องใหม่ กล้าธรรม ๒๔
ตัวเลขแบบนี้หาก ภูมิใจไทย ถอนตัวจากรัฐบาลก็จบเห่ครับ เพราะรัฐบาลจะเหลือ สส.เพียง ๒๕๓ คน
ขณะที่ยอด สส.ที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้นั้น มีทั้งสิ้น ๔๙๓ คน ไม่เต็ม ๕๐๐
เกินกึ่งหนึ่งต้องมี สส.ในมือ ๒๔๗ คน
เท่ากับเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ
แต่…อย่าลืมมองไปที่พรรครวมไทยสร้างชาติ จะอยู่ครบทั้ง ๓๖ หรือจะหายไป ๑๘ คน
ถ้าหายไปครึ่งหนึ่ง รัฐบาลจะมีเสียงสนับสนุนเพียง ๒๕๓ ไม่เพียงพอต่อการเป็นรัฐบาล เว้นเสียแต่ว่าไปจีบ พรรคพลังประชารัฐ ๒๐ เสียง พรรคไทยสร้างไทย ๖ เสียง และพรรคไทยก้าวหน้า ๑ เสียง
แบบนี้พอถูไถ
แต่ ๓ พรรคที่ว่าจะยอมฉิบหายไปกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่
การถอนตัวของพรรคภูมิใจไทยหากเกิดขึ้น แรงกระเพื่อมจะมากกว่า ๖๙ เสียง เพราะจะมีเสียงเรียกร้องให้ พรรครวมไทยสร้างชาติ ปีก “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ๑๘ เสียงถอนตัวตามไปด้วย
ซึ่งเงื่อนไขนี้จะเกิดขึ้นจากกรณีพรรคเพื่อไทยยึดกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงพลังงาน
ก็พอเห็นทิศทางนะครับ หากพรรคเพื่อไทยอยากอยู่ในอำนาจต่อ ก็ต้องสงบเสงี่ยมพอประมาณ อย่าเพ้อเจ้อถึงยุครุ่งเรืองเป็นรัฐบาลพรรคเดียว
ปัจจุบันระบอบทักษิณโรยราไปมาก หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองจนต้องยุบสภาในช่วงนี้ โอกาสกลับมาเป็นพรรคอันดับ ๑ นั้นแทบเป็นไปไม่ได้
เลือกตั้งใหม่อาจหล่นไปอยู่ลำดับที่ ๓ รองจากพรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทยก็ได้
วานนี้ (๑๗ มิถุนายน) การแถลงข่าวหลังการประชุมครม.ของนายกฯ แพทองธาร นักข่าวเขาสังเกตเห็นว่า “อนุทิน” ไม่อยู่ร่วมแถลงข่าวเหมือนเช่นเคย
หายไปไหน?
ไปดูคำถามคำตอบการสัมภาษณ์นายกฯ ครับ
นักข่าวถามถึงการพูดคุยกับ “อนุทิน” มีเรื่องปรับครม.หรือไม่
คำตอบคือ “ไม่ได้คุย คุยแต่เรื่องเนื้องาน นโยบายต่างๆ ที่เราจะขับเคลื่อนที่ยังติดขัดในบางจุด ซึ่งดิฉันบอกไปแล้วว่า ตรงไหนอยากให้มีการขยับมากยิ่งขึ้น”
ถามต่อว่า การวางงานยาวแบบนี้สะท้อนให้เห็นว่า “อนุทิน” จะอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยยาวไปด้วยหรือไม่
นายกฯ ตอบว่า “…ก็แล้วแต่จะมองในการพิจารณา เพราะในทุกกระทรวง ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลหรือเปลี่ยนรัฐมนตรีไปเป็นใครก็ต้องทำงานต่ออยู่ดี…”
ถามอีกว่า ตอนตั้งรัฐบาลมีเงื่อนไขว่า ใครจะได้อยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรียาวหรือไม่ยาวหรือไม่
คำตอบคือ “…เงื่อนไขในตอนตั้งรัฐบาลไม่ได้มีนะคะ ไม่มีเงื่อนไขนี้ พูดคุยแต่เรื่องกระทรวงเฉยๆ…”
นักข่าวถามจี้ว่าเหตุใดพรรคเพื่อไทยถึงอยากได้กระทรวงมหาดไทย
เธอเดินหนีครับ ออกจากโพเดียม โดยไม่ตอบคำถามนี้
เป็นเพราะไม่มีโพยคำตอบในคำถามนี้หรือไม่มิทราบได้ แต่แทนที่จะชี้แจงให้เคลียร์ กลับเดินหนี มันสะท้อนให้เห็นว่าเรื่องนี้ขัดแย้งกันสูงมาก
ประมวลตามเหตุการณ์ “อนุทิน” ยังคงยืนยันในทำเนียบรัฐบาลว่า ถ้าเสียเก้าอี้ มท.๑ ไป ก็พร้อมที่จะเป็นฝ่ายค้าน
“…มันเป็นไปตามข้อตกลง ข้อตกลงคือ ข้อตกลงกันแบบนี้ ถ้าทำแบบนี้แต่ละพรรคการเมือง ก็จะกำกับดูแลกระทรวงนี้ กระทรวงนั้น เป็นไปตามข้อตกลง และยังไม่มีการกระทำใดๆ ที่เสียหาย
ถ้าไปดูโพลมหิดล ก็ชัดเจนดี ว่ากระทรวงมหาดไทยก็ไม่ได้ทำความเสียหายใดๆ และผมก็ไม่ได้ทำความเสียหายใดๆ ให้กับรัฐบาล ตรงกันข้ามผมก็สนับสนุนการทำงานของนายกรัฐมนตรีอย่างออกนอกหน้ามาโดยตลอด ให้กำลังใจ เชียร์ท่าน และพร้อมยืนอยู่เคียงข้างท่านทุกสถานการณ์
ผมทำทุกอย่างตามครรลองของคนที่ทำงานด้วยกันที่พึงจะกระทำ…”
รอยปริมันชัดเจนมากครับ
หากย้อนกลับไปที่ต้นเรื่องจะยิ่งชัด วันที่ “ทักษิณ” ประกาศยึดเก้าอี้กระทรวงมหาดไทย ได้เผยความอยากเอาไว้อย่างชัดแจ้ง
“…การนำนโยบายไปถึงประชาชน กระทรวงหลักคือ กระทรวงมหาดไทย วันนี้มันไม่ค่อยถึง เพราะว่ากระทรวงมหาดไทยยังไม่ค่อยทำเต็มที่ เวลามันเหลือ ๒ ปีแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่มหาดไทยต้องทำงานให้เต็มที่…”
“…พรรคเพื่อไทยต้องตัดสินใจเพื่อให้นโยบายถึงประชาชนจริงๆ ก็ต้องให้กระทรวงมหาดไทยอยู่ในความดูแลของพรรคเพื่อไทย นี่คือหลักการ…”
สำคัญตรงที่เป็น “หลักการ” ครับ
เมื่อหลักการของ “ทักษิณ” เป็นเช่นนั้น “แพทองธาร” ก็ต้องยึดหลักการที่ว่านี้อย่างไม่ลดละ
คงได้เห็นการเลือกตั้งในเร็วๆ นี้.
