เปลว สีเงิน
อืมมมม….
“นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” ค่อยพูดได้เนื้อสมเป็นผู้นำบริหารขึ้นมาหน่อย
เมื่อวาน (๑๖ มิ.ย.)ขึงขัง ว่า…….
“กรณีรัฐบาลกัมพูชาจะนำ ๔ พื้นที่พิพาทเข้าสู่กระบวนการศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ดิฉันขอยืนยันว่า
ประเทศไทย “ไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก” และไม่เข้าร่วมกระบวนการดังกล่าว
เพราะรัฐบาลเชื่อมั่นในกลไกทวิภาคีที่มีความจริงใจของทั้ง ๒ ประเทศ คือแนวทางที่มีประสิทธิภาพและคาดหวังผลสำเร็จได้
ขณะนี้ ได้ตั้งคณะทำงาน “ทีมไทยแลนด์” ดำเนินการใดๆ ที่จะมีผลกระทบ โดยมีรมช.กลาโหม “พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์” เป็นหัวหน้าคณะ
นอกจากนี้ สั่งการให้ศึกษาข้อกฏหมายระหว่างประเทศ เพื่อย้ำจุดยืนของไทยในประเด็นระหว่างประเทศ
โดยกระทรวงการต่างประเทศ จะเป็นผู้นำเรียนข้อมูลและความคืบหน้าให้พี่น้องประชาชนทราบต่อไป
ในช่วงบ่ายวันนี้ จะเชิญคณะเอกอัครราชฑูตและผู้แทนจากหลายประเทศ เข้ารับฟังการชี้แจงจากกระทรวงการต่างประเทศ และคณะกรรมการ JBC เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ไปพร้อมๆ กัน”
ก็เข้ารูป-เข้ารอยขึ้นหน่อยที่ให้ “กระทรวงต่างประเทศ” ร่วมกับ “กระทรวงกลาโหม” เป็นแกนหลัก ประมวลเรื่องราว-ข่าวสาร แล้วแถลงให้ประชาชนทราบเป็นระยะ
ต้องเข้าใจให้ชัดนะครับว่า….
“ทีมไทยแลนด์” ที่ตั้งขึ้นนี้ ไม่ได้มีหน้าที่คอยตามแก้ “ปัญหาให้เขมร” ที่สองพ่อลูกตระกูลฮุนพูดหรือโพสต์พล่ามในแต่ละวัน
ถ้าทำแบบนั้น เท่ากับถูกสองพ่อลูกเขมรลากไปตามเกมของเขา
ก่อนอื่น เราต้องรู้ว่า ขณะนี้ ฮุนตัวพ่อ “สติแตก” แล้ว!
แตกเพราะทุกอย่างมันผิดแผน “ร่วมกันรวย” เรื่องพลังงานบริเวณเกาะกูด
ยิ่งมาเจอตอน “ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์” ที่จีนส่ง “รมช.หลิว จงอี้” เข้ามาจัดการทั้งฝั่งพม่า ด้านแม่สอด และฝั่งเขมร ด้านอรัญประเทศ
ไทย “ตัดไฟ-ตัดเน็ต” ทำให้รายได้พวกแก๊งฟอกเงิน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แก๊งค้ามนุษย์ แก๊งพนันออนไลน์ ที่ชายแดนฝั่งเขมรหายไปเยอะ
นั่นสะเทือนถึง “รายได้” ของครอบครัวตระกูลฮุนโดยตรง!
จะเห็นว่า ทุกอย่างพลิกล็อกไปหมด จากที่วาดฝันว่า เมื่อพรรคทักษิณเป็นรัฐบาล ด้วยอำนาจคุมรัฐ ทุกอย่างจะง่ายดุจพลิกฝ่ามือ
เมื่อผิดแผน ก็คลั่ง ใช้สันดานเดิม ยิงใส่ทหารไทยตรงช่องบก เลยถูกตอบโต้ บังเอิญไปถูกทหารเขมรพลีชีพเพื่อฮุนเซนไป ๑ ศพ
ฮุนเซนคลั่งใหญ่…..
โพสต์กร่างคับกางเกง แม่ทัพภาคที่ ๒ “พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” บอกให้ถอยกลับออกไปจากที่รุกล้ำเข้ามา ๒๐๐ เมตร คูลง-คูเลตที่ขุดไว้ ต้องกลบให้หมด
ทำฮึดฮัด ร่างกายอยากปะทะ !
เมื่อไม่ยอมถอย งั้นทหารใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก เริ่มจาก “เปิด-ปิดด่าน” เป็นเวลา เท่านั้นแหละ
เขมรร้องจ๊าก….ฮุนเซนสั่งถอยทันที คูเลตที่ขุดไว้ก็กลบคืนสภาพเดิมตามที่ “พล.ท.บุญสิน” ยื่นโนติส
เพราะ “ปิดด่าน” ทำให้รู้ว่า….
ขุมทรัพย์ “ตระกูลฮุน” อยู่ตรงนี้เอง!
ปิดด่าน เท่ากับ “ปิดรายได้” จากบ่อนกาสิโน ทั้งจากการฟอกเงิน การพนันออนไลน์ ทั้งทางด้านช่องจอม ด้านอรัญ-ปอยเปต และด้านจันทบุรี
เพราะเหตุนี้ ฮุนเซนต้องรีบสั่งถอย
แต่ทำไว้เชิงว่า เป็นการ “ปรับกำลัง” ไม่ใช่ถอย!
ถอยแล้ว นึกว่าไทยจะเปิดด่านเป็นปกติ แต่เพราะฮุนเซนสติแตกนั่นแหละ นอกจากโพสต์พล่าม ยังมีการเคลื่อนกำลังประชิดแดน
เมื่อสถานการณ์ยังไว้ใจไม่ได้ ก็ต้องปิดต่อไป จากปิดด่าน สู่การ “ตัดไฟ-ตัดเน็ต” ด้านปอยเปต
เขมรสองพ่อลูกยิ่งพล่าน ช่วยกันโพสต์ท้าทาย-ปลุกระดมประชาชนเขมรใส่ร้ายป้ายสี ว่าไทยรุกราน ให้เตรียมพร้อมรบ
เรื่องก็เลยแดงออกมา……….
“ตัดไฟ-ตัดเน็ต” เท่ากับ “ตัดขั้วหัวใจ” อันเป็นแหล่งรายได้นับแสนๆ ล้านต่อปีของตระกูลฮุน
เพราะ “แก๊งอาชญากรรมโลก” ซุกซ่อนอยู่บริเวณชายแดนเขมรนี่เอง โดยใช้อินเทอร์เน็ตและไฟฟ้าจากไทยเป็นอุปกรณ์หลัก
เมื่อไทยตัด แม้ตัดไม่หมดทุกค่าย แค่นี้ก็ทุรน-ทุราย ออกอาการเหมือนหมาถูกยาเบื่ออย่างที่เห็น
สอดคล้องกับรายงานข่าวจากต่างประเทศว่าเขมรเป็นแหล่ง “อาชญากรรมทางไซเบอร์” ที่สังคมโลกกำลังเพ่งเล็ง
“รองศาสตราจารย์ ดร. ปิติ ศรีแสงนาม” โพสต์ข้อความเตือนสติและข้อเสนอแนะในเรื่องเขมรไว้วันก่อน ในข้อที่ ๙ ว่า
๙.ตัดกระแสไฟฟ้า ตัดอินเทอร์เน็ต สำหรับกิจการที่ใช้ไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตจากไทยในปริมาณมากๆ
เพราะส่วนใหญ่คือ กิจกรรมการพนันและ scam center, fraud factory
ห้ามบุคคลที่จะเดินทางออกไปเล่นการพนัน ไม่ให้ข้ามพรมแดน (สังเกตจากคนพวกนี้จะมีนายหน้าของบ่อนดำเนินการเรื่อง border pass)
เพราะบ่อนและ scam center เป็นท่อน้ำเลี้ยงของกลุ่มบุคคลที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
ในขณะที่หากเป็นกิจกรรมปกติ ค้าขาย ข้ามแดนเพื่อท่องเที่ยว ทำงาน ให้อำนวยความสะดวกตามปกติ เพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน
รวมทั้งให้กองทัพและ ตชด.ลาดตระเวนให้พื้นที่ช่องทางธรรมชาติให้มีความถี่สูงขึ้น
ตรงนี้ เป็นความชอบธรรมที่ประเทศไทย จะไม่สนับสนุนอาชญากรรมทางไซเบอร์ ด้วยอินเทอร์เน็ตและไฟ และควรร่วมปราบปรามเพื่อประชาคมโลก
เวลานี้ “ฮุนเซน-ฮุนมาเน็ต” พยายามทำให้สังคมโลกเข้าใจว่าเขาถูกประเทศไทยรุกราน และถูกแย่งชิงดินแดน จนเขาต้องฟ้องศาลโลก
ฉะนั้น ดีแล้ว ที่รัฐบาลตั้งทีมไทยแลนด์ทำหน้าที่สื่อสาร เขมรจะพูดอะไร อย่าไปรับลูกเขา ถ้ารับลูก เท่ากับช่วยขยายข่าวให้เขา
ไทยควรมีเป้าหมายว่า อะไรที่เราควรชี้แจงให้ประชาคมโลกได้เข้าใจ ในกรณีพิพทานดินแดนไทย-เขมร
รวมทั้งข้อเท็จจริงของ ปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และช่องบก เป็นของไทยตั้งแต่เขมรยังเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส และฝรั่งเศสก็ยอมรับว่าเป็นของไทย
เรื่องไทยจะรังแกคนเขมรหรือขับไล่แรงงานเขมรกลับไปนั้น ไม่มีเด็ดขาด ไทยกับเขมรเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันมาตลอด
ทีมีปัญหา ก็เฉพาะผู้นำรัฐบาลของเขานั่นแหละ!
การ “เปิด-ปิดด่าน” และการตัดเน็ต-ตัดไฟฟ้านั้น ทีมไทยแลนด์ ควรชี้แจงให้ชาวโลกเข้าใจว่า ….
เป็นหนึ่งในมาตรการกวาดล้าง-ปราบปรามแก๊งอาชญากรรมทางไซเบอร์ ที่ใช้เขมรเป็นฐานหลอกลวงไปทั่วโลก
ทาง “กองบัญชาการสอบสวนกลาง” ก็มีข้อมูลเรื่องนี้อยู่บ้างแล้ว ไทยควรทำให้สังคมโลกหันมาเพ่งเล็งจุดนี้ มากกว่าจุดที่ฮุนเซนลากไปว่าเป็นเรื่องพิพาทดินแดน
ทีมไทยแลนด์ ควรกำหนดเวลาแถลงข่าวแต่ละวันให้แน่นอน และถ้าเป็นไปได้ น่าจะแถลงเป็นภาษาอังกฤษด้วย
หรือบางเรื่อง-บางกรณีที่ต้องการสื่อสารให้ประชาชนเขมรทราบ แถลงสรุปด้วยภาษาเขมรบ้าง
ก็จะ “สื่อสัมพันธ์” ให้คนเขมรทั้งในไทยและในเขมรได้เข้าใจที่ตรงต่อความเป็นจริง
แทนการฟังและอ่านที่สองพ่อลูกเขมรโพสต์เฟซ ซึ่งล้วนแล้วแต่เสี้ยมให้ชาวเขมรและชาวไทยเกลียดชังกัน
ทุกวันนี้ โลกมันแคบเข้าทุกวัน หรือพูดอีกที สังคมโลกมันไร้พรมแดนแล้ว ต่อให้อยู่คนละขั้วโลก มีอะไร ภายในไม่กี่นาที ก็รู้ถึงกันหมด
ฉะนั้น การให้ข้อมูลข่าวสารก่อน ถือว่าได้เปรียบ
ในภูมิภาคนี้ ไทยเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยิ่งข้อมูลข่าวสารที่เราให้ไปก่อนนั้น เป็นข้อมูลถูกต้องตามเป็นจริง นอกจากได้เปรียบ ยังจะได้รับความเชื่อถืออีกด้วย!
เราเป็นคน อย่าลงไปฟัดกะหมา ฉันใด
กับเขมรสองพ่อลูก ไทยเราก็ไม่ควรลดตัวไปต่อปาก-ต่อคำ นอกจากทำให้กระจ่างในเรื่องที่เป็นจริง!
พูดกันตรงๆ ตามที่ผมศึกษาหาความรู้มา ทราบว่าเอกสารข้อมูลทางประวัติศาสตร์สัมพันธ์กับเพื่อนบ้านและชาวโลก
ที่กระทรวงการต่างประเทศ และที่กองทัพ-กระทรวงกลาโหมมีให้ศึกษา-ค้นคว้ามากมาย
มีความเป็นไปได้ไหม….?
ที่จะตั้งกองค้นคว้าเอกสารสัญญาเกี่ยวกับ “ปราสาทพระวิหาร” เป็นการเฉพาะกิจขึ้นมาซักกองหนึ่ง
อย่าลืมว่า ในคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ปี ๒๕๐๕ ศาลโลก ระบุว่า…..
“จะไม่ตัดสินว่า เส้นเขตแดนไทย – กัมพูชา บริเวณปราสาทพระวิหาร เป็นไปตามแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ระวางดงรักหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ศาลฯ จำเป็นต้องทราบว่า “เส้นเขตแดนไทย -กัมพูชาอยู่ที่ใด ในบริเวณปราสาทพระวิหาร”
เพื่อใช้เป็นเหตุผลที่จะตัดสินว่า “ปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้อธิปไตยของประเทศใด?”
ทั้ง ดร.ถนัด คอมันตร์ รมว.ต่างประเทศ ได้แจ้งต่อเลขาฯ ยูเอ็นไว้ว่า “ไทยขอสงวนสิทธิ์ที่จะทวงปราสาทพระวิหารคืน” เมื่อมีข้อมูลใหม่!
ไทยเราน่าจะชวนเจ้าหน้าที่ยูเนสโก และเชิญประธานาธิบดีฝรั่งเศส “แอมานุแอล มาครง” มาด้วย
เพื่อไปดูสภาพ “ปราสาทพระวิหาร” ที่ยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกของเขมรฝ่ายเดียวนั่นแหละ จะได้เห็นว่า ขณะนี้ …..
“ปราสาทพระวิหาร” ไม่ได้รับการทำนุบำรุงรักษาให้สมกับสภาพ “มรดกโลก” แต่อย่างใดเลย
ถูกปล่อยร้าง ทรุดโทรม บางแห่งก็พัง ทั้งไม่มีผู้ขึ้นไปเยี่ยมชม
เพราะภูมิศาสตร์ตาม “แนวสันปันน้ำ” ชัดเจนว่า ปราสาทพระวิหาร ตั้งอยู่ในฝั่งไทย ทั้งทางขึ้นก็อยู่ในฝั่งไทย
แต่เมื่อศาลโลกตัดสินให้เป็นของเขมร ซึ่งขัดต่อสภาพจริงตามธรรมชาติและขัดต่อแนวสันปันน้ำ ก็ไม่มีใครสามารถขึ้นไปชมปราสาทพระวิหารได้
เพราะปราสาทพระวิหารอยู่บนยอดเขา ทางขึ้นอยู่ฝั่งไทย เมื่อเป็นของเขมร ก็ต้องขึ้นจากทางฝั่งเขมร
แต่ทางฝั่งเขมร เป็นหน้าผาสูงชัน แล้วใครจะขึ้นไปได้ล่ะปราสาทพระวิหารอยู่ในมือเขมร จึงไม่ต่าง “ลิงได้แก้ว”!
เนี่ย…ให้ยูเนสโกและประธานาธิบดีมาครงมาดู และเพื่อเห็นแก่มรดกมวลมนุษยชาติ ทั้งยูเนสโกและฝรั่งเศส ควรสนับสนุนให้ปราสาทพระวิหารได้คืนกลับสู่เจ้าของแท้จริง คือไทย
เพื่อไทยจะได้ทำนุบำรุงรักษา ฟื้นฟูสภาพ คืนจิตวิญญานให้ตัวปราสาทพระวิหาร “ได้มีชีวิต-ชีวา”
กลับมาเป็น “มรดกมวลมนุษยชาติ” อีกครั้ง แทนการปล่อยทิ้งร้างอย่างทุกวันนี้
นายกรัฐมนตรีหรืออย่างน้อยกระทรวงต่างประเทศ น่ามีการปรารภกับทางฝรั่งเศส ขอให้ไทยได้รับความเอื้อเฟื้อทางเอกสารประวัติศาสตร์
มิใช่เพื่อไทยจะได้เป็นเจ้าของปราสาทพระวิหาร
แต่เพื่อประเทศไทยจะได้ฟื้นฟู-รักษา “อารยสมบัติมวลมนุษยชาติ”แแห่งนี้ ให้ดำรงคงอยู่เท่านั้น!
เปลว สีเงิน
๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๘
