ผักกาดหอม
น่าจะไม่รอดทั้งพ่อทั้งลูก
ตัวพ่อไม่รู้ว่ายังอยู่ หรือไปเยี่ยม “ฮุน เซน” แล้ว
ส่วนลูกน่าเป็นห่วงมาก เพราะศักยภาพการเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ต่ำเตี้ยจริงๆ
ที่เป็นห่วงคืออนาคตของประเทศไทย ที่ต้องมาอยู่ภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้เรื่องได้ราว
กรณีเวลาเปิด-ปิดด่านไทย-กัมพูชา นายกฯ แพรอโพย พูดแบบมีสมองไว้คั่นหู ไม่รู้ว่าสถานการณ์เช่นนี้ควรพูดอย่างไร
พูดเหมือนกลัวจะทำให้ “ฮุน เซน” ลำบาก
ถ้า “พ่อ” ติดคุก “อุ๊งอิ๊ง” ทำอะไรไม่ได้หรอกครับ เพราะไม่มีใครเชื่อมั่น
ต่างชาติส่ายหัว
ก็ดูตอนที่ผู้นำต่างประเทศมาเยือนไทยสิครับ ต้องไปเจอ “ทักษิณ” เพื่อต้องการการรับประกันว่า เรื่องที่คุยกันต้องเป็นไปตามนั้น ไม่ใช่ลมพัดลมเพ
ต้องให้ประทับตราอีกทีถึงจะเชื่อถือได้!
ช่างน่าอายจริงๆ ๑ ประเทศ ๒ นายกฯ
คนหนึ่งไม่รู้สี่รู้แปด อีกคนลูกผีลูกคน ประเทศไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
ครับ…วานนี้ (๑๒ มิถุนายน) เป็นไปตามคาด แพทยสภายืนยันมติเดิม ลงโทษ ๓ หมอที่ช่วย “ทักษิณ” หลัง “สมศักดิ์เรียงหิน” วีโต
ก็ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนข้อเท็จจริงได้ ยิ่งข้อเท็จจริงนั้นเกี่ยวข้องกับจรรยาบรรณแพทย์ ต้องยิ่งเที่ยงตรง ๑๐๐%
หากหมอไม่เที่ยงตรง จะกระทบกับผู้ป่วยมหาศาลครับ
ไฮไลต์อยู่ที่คำแถลงของ “ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา” อุปนายก คนที่ ๑ คณะกรรมการแพทยสภา
“…ไม่ว่าจะเป็นแพทย์รุ่นใหม่ หรือแพทย์รุ่นเดิม เราได้รับการอบรมสั่งสอนมาเหมือนกัน เราเข้าใจจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ และเราเข้าใจความถูกต้อง เราเข้าใจบทบาทหน้าที่เหมือนกัน
และผมก็อยากจะย้ำวันนี้เราทำตามสิ่งที่เราถูกสั่งสอนไว้ แล้วผมคิดว่าแพทย์ที่กำลังเรียนอยู่ก็ใช้กรณีนี้เป็นกรณีศึกษา ก็ได้เห็นว่าบทบาทของแพทย์มีมากมาย ไม่ใช่แค่การรักษาเพียงอย่างเดียว แต่คือการรักษามาตรฐานของการรักษา…”
แพทยสภาเห็น “ทักษิณ” เป็นเพียงผู้ป่วยคนหนึ่งเท่านั้น และมติแพทยสภาก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการเมือง
เพียงแต่ “คนที่อ้างว่าไข้” ชื่อ “ทักษิณ” ใช้ “หมอ” เพื่อไม่ให้ตัวเองติดคุก
เหมือนที่เคยใช้ข้าราชการเพื่อไม่ให้ตัวเองมีความผิดคดีคอร์รัปชัน
สุดท้าย คุกยกเข่ง!
ภารกิจของแพทยสภาในคดีหมอชั้น ๑๔ ยังไม่จบเท่านี้ครับ
“คุณหมอประสิทธิ์” ท่านบอกว่า “…หลังจากนี้เรากำลังพิจารณาว่าจะพิจารณาจริยธรรมแห่งวิชาชีพของแพทย์เพิ่มเติม…”
ก็หนาวๆ ร้อนๆ กันไป
อีกด้านหนึ่งวันนี้ (๑๓ มิถุนายน) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนกรณีการบังคับโทษของ “ทักษิณ” ว่ากรมราชทัณฑ์ทำถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
เห็นมติของแพทยสภาแล้ว การไต่สวนของศาลฯ น่าจะไม่ยืดเยื้อ เพราะหลักใหญ่ใจความคือ การส่งตัว “ทักษิณ” ออกจากเรือนจำไปยังโรงพยาบาลตำรวจนั้น ไม่ถูกต้อง
มีแพทย์ที่เกี่ยวข้องถูกลงโทษ ๓ ราย
อีกทั้งยังไม่มีหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ว่า “ทักษิณ” ป่วยวิกฤตจริง
ฉะนั้นจะมีคำสั่งอะไรที่เกี่ยวกับ “ทักษิณ” หรือไม่ก็อยู่ที่ศาลฯ
แต่ในทางการเมือง “พ่อ-ลูก” คู่นี้ ขึงพืดตัวเอง
“ทักษิณ” กำลังจะจนมุมเพราะการกระทำของตนเอง
ส่วน “แพทองธาร” กำลังจะเป็น “แพะทองธาร” ให้พ่อ
พ่อไม่อยู่เมื่อไหร่ รู้เรื่อง!
ช่วงนี้พ่อไม่ค่อยว่างถึงได้ออกทะเล
ก็เรื่องเวลาเปิด-ปิดด่าน นั่นแหละครับ ถ้าไม่รู้ก็ไม่ควรพูด เพราะพูดไปแล้วมันเห็นถึงสติปัญญา ไปทำงานเหมือนที่เคยฝึกงานร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดน่าจะเหมาะสุดแล้ว
มีที่ไหน ไทยเป็นคนเริ่มปิดด่าน พอเขมรเล่นเกมเปิด-ปิดด่านให้เหลื่อมกัน ๑ ชั่วโมง นายกฯ ไทยบอกว่าเห็นใจเขา น่าจะเปิด-ปิดด่านเวลาเดียวกัน
เป็นห่วงเพื่อนพ่อหรือ?
นี่มันเรื่องของประเทศนะครับ ไม่ใช่ครอบครัว
เขมรขย่มโครมๆ ดันไปเรียกประชุมด่านเรื่องตัดไม้ทำลายป่า
ใช้อวัยวะส่วนไหนคิด!
ดีว่า “อนุทิน ชาญวีรกูล” อธิบายให้ได้เข้าใจกัน
“…เรื่องเปิด-ปิดด่านก็เช่นกัน เราก็เปิดของเราอย่างนี้ ถ้าเขาจะมาเหลื่อมเวลา ผมคิดว่าคนที่เสียประโยชน์คือฝั่งเขา เอาเป็นประเด็นการเมืองอะไรตรงนี้ ไม่ก้าวล่วง
ส่วนของเรายืนยันว่าจะเปิดแบบนี้ จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะตอนนี้เปิดวันละ ๖-๗ ชั่วโมงอยู่แล้ว
ถ้าเปิดเหลื่อมกันจะเหลือ ๖ ชั่วโมง ถามว่าใครเสียประโยชน์มากกว่าระหว่างเขาเข้ามาขายของกับเราไม่ออกไปซื้อของเขา หรือไปทำธุรกิจที่เขา ก็แล้วแต่…”
ที่จริง “อุ๊งอิ๊ง” น่าจะได้หัวพ่อค้ามาจากพ่อบ้าง แต่เปล่าเลย
มันว่างเปล่า!
พอไม่มีโพยก็คิดเองไม่เป็น จะพาทหารไทยเข้ารกเข้าพง
เอางี้แล้วกัน มีโพยของ “รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร” อุ๊งอิ๊งลองไปอ่านดู
“…’สร้างความเจ็บปวด’ ไม่ใช่อำนวย ‘ความสะดวก’
๑.ถูกต้องแล้วที่เราไม่ต้องการรบกับกัมพูชา แต่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมรบมากขึ้นกว่านี้ จะได้ไม่ต้องรบจริงถ้าไม่จำเป็น
๒.ก่อนจะประชุม JBC ในอีกไม่กี่วัน สำคัญที่สุดคือ ไทยจะต้องสร้างความ ‘เจ็บปวด’ หรือความ ‘ไม่สะดวก’ ให้กัมพูชาในหลายๆ ด้านเพียงพอที่จะทำให้เขา:
๑) ถอนกำลังทหารและอาวุธที่จีนให้มาออกไปจากพื้นที่ที่เขารุกคืบเข้ามา ไม่ใช่ปล่อยให้เขาแค่ปรับกำลังหรือ ‘กลับหัวนอน’ อย่างที่นายฮุน เซน ให้ข่าว
๒) กลับมาคุยกันในกรอบ JBC/MOU และอื่นๆ เช่น GBC RBC TBC ฯลฯ ที่มีมานานกว่า ๓๐ ปีให้ดีขึ้น เป็นประโยชน์กันมากขึ้น โดยเฉพาะจะต้องคุยเรื่องปะทะและใช้กำลังให้ชัดเจน และกำหนดแนวทางป้องกันไว้เพิ่มในอนาคต
แต่ถ้าไม่ ก็เสนอยกเลิกกรอบเดิมๆ เหล่านั้นเสียเลย แล้วช่วยกันคิดกรอบใหม่ๆ ในการเจรจาขึ้นแทน ซึ่งก็จะเกิดความไม่สะดวก โกลาหลและเจ็บปวดกันหลายฝ่ายในช่วงแรก แต่จะดีกับเราในระยะยาว และ
๓.ในระยะยาว ทำให้เกิดแรงจูงใจใหม่ๆ ทางเศรษฐกิจและอื่นๆ ที่โปร่งใส ชัดเจน และง่ายๆ ให้กับกัมพูชา เช่น ด้านพลังงาน ด้านชายแดน รวมทั้งการปราบแก๊งเถื่อนๆ ทั้งหลายที่หา ผปย. (ผลประโยชน์) กันอย่างเป็นล่ำเป็นสันข้ามพรมแดน โดยเน้นให้ประชาชนทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์แบบจริงๆ และโดยเร็วที่สุด ถ้าทำได้ ไทยกับกัมพูชาก็จะเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันแบบจริงใจ ไม่เล่นเอาเถิด เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย จนมีคนบาดเจ็บล้มตายและเสียหายหลายอย่าง แบบที่ผ่านมา ๗๕ ปี…”
ลองดูนะ “อิ๊งค์” เผื่อจะรอด.
