ผักกาดหอม
การเมืองมันสกปรก
คงเคยได้ยินคำนี้บ่อยๆ นะครับ คนดีๆ ถึงไม่ค่อยอยากจะเข้าสู่การเมือง
ไม่ว่าการเมืองที่ไหนในโลกใบนี้ ล้วนมีความสกปรกเปรอะเปื้อนมือด้วยกันทั้งนั้น
ต่างกันบ้างตรงที่ สกปรกน้อยหน่อย ยันสกปรกเลอะเทอะ หาความสะอาดไม่ได้เลย ส่วนใหญ่จะเป็นการเมืองในประเทศด้อยพัฒนา
ด้อยพัฒนาคือ ล้าหลัง อาศัยความไม่รู้ของประชาชนมาใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง
อย่าคิดว่าการเมืองไทยพัฒนาไปไกลแล้วนะครับ
ยังมีความล้าหลังอยู่มาก
การเมืองประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ไม่ต้องพูดถึง
เน่าสนิท
เหมือนบริหารโดยครอบครัวโจร
มันน่าอนาถครับ ที่นักการเมืองระดับตำนานแห่งการคอร์รัปชันของประเทศไทย ไปผูกสัมพันธ์ในระดับที่แน่นแฟ้น ไปมาหาสู่กันยามป่วยวิกฤต ดุจครอบครัวเดียวกัน
ถึงเวลาอยากจะเหยียบจมูกคนไทยก็เหยียบเอาดื้อๆ
มันเจ็บปวดตรงที่รัฐบาลไทย ดันไม่มีปาก
กับ “ฮุน เซน” ไม่มีใครกล้าออกมาพูดความจริงกับประชาชน ทั้งๆ ที่มันไม่ได้ยากต่อการชี้แจง
เปลืองข้าวสุกจริงๆ ครับ
วานนี้ (๓ มิถุนายน) เห็น นายกฯ แพทองโพย เดินหนีนักข่าว ไม่อยากตอบคำถามเรื่องเขมรเอาข้อพิพาทช่องบกขึ้นศาลโลก
มันทุเรศครับ!
คุณเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยหรือเปล่า
ฮุน เซน เป็นผู้ใหญ่ฝั่งพ่อคุณหรือไร ถึงได้ไม่กล้าตอบโต้อะไรให้คนไทยได้รู้สึกว่า ประเทศไทยยังมีบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่
โดยพื้นฐาน คนเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ต้องรู้อยู่แล้วผลจากคดีพระวิหาร คณะรัฐมนตรีประยุทธ์เมื่อปี ๒๕๕๘ ให้จัดทำข้อสงวนว่าไทยจะไม่ผูกพันตามข้อ ๒๐ วรรค ๑ ของอนุสัญญาฯ ซึ่งกำหนดให้รัฐภาคีระงับข้อพิพาทกัน โดยอนุญาโตตุลาการ หรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
คือ หัวเด็ดตีนขาด ไม่ไปศาลโลก
มันมีวิธีที่จะอธิบายกับคนไทยง่ายๆ แต่ก็อมสากกันหมด
หาคนออกมาพูดไม่ได้
ราวกับว่าต้องรอคำสั่งจาก “เสือกทุกเรื่อง” ก่อน
รอดูอยู่ว่าจะเป็นใครในรัฐบาลออกมาบอกกับประชาชนว่า อย่ากังวลไปเลย การเอาคดีขึ้นศาลโลกต้องได้รับความยินยอมจากคู่ความทั้งสอง ถ้าไทยไม่ยอม เขมรก็ทำอะไรไม่ได้
ปราสาทตาเมือนธม ตาควาย ก็ยังเป็นของไทยอยู่
แค่นี้ไม่มีใครกล้าพูดครับ ที่พูดก็ไปเรื่องไม่ปิดชายแดน ไม่วางกำลังทหาร จะไปพูดให้ทัวร์ลงทำไม
ไม่รู้ทำไมไปให้น้ำหนักเรื่องปิดหรือไม่ปิดด่านจัง กลัวใครเข้าออกไม่สะดวกหรือไร
กางตำราอธิบายว่าประเทศใดจะอยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลโลก เกิดขึ้นได้ ๓ ทาง คือ
๑.เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาใดซึ่งกำหนดว่าหากมีปัญหาการตีความ ให้ศาลเป็นผู้พิจารณา
๒.คู่กรณีตกลงกันยอมรับเขตอำนาจศาลเฉพาะกรณี
๓.ทำประกาศปฏิญญาฝ่ายเดียวยอมรับเขตอำนาจศาล
ในกรณีของไทยนั้น ไม่ใช่ทางที่ ๑ และทางที่ ๒ แต่เป็นทางที่ ๓
ไทยทำประกาศปฏิญญาฝ่ายเดียวยอมรับเขตอำนาจศาลโลกมาทั้งหมดเพียง ๓ ครั้งเท่านั้น
๒ ครั้งแรก เป็นการยอมรับเขตอำนาจศาลโลกเก่าในยุคสันนิบาตชาติที่เรียกว่า Permanent Court of International Justice (PCIJ)
ครั้งสุดท้ายจึงเป็นการยอมรับเขตอำนาจศาลโลกยุคสหประชาชาติปัจจุบันที่เรียกว่า International Court of Justice (ICJ)
ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๗๒ มีผลบังคับใช้วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๔๗๓
ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๔๘๓ มีผลบังคับใช้วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๔๘๓ เสมือนเป็นการต่ออายุประกาศครั้งที่ ๑
ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๔๙๓ หลังประกาศฉบับที่ ๒ หมดอายุลง ๑๔ วัน มีผลบังคับใช้ย้อนไปตั้งแต่วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๔๘๓
หลังจากนั้นประเทศไทยไม่เคยออกประกาศฝ่ายเดียวรับเขตอำนาจศาลโลกอีกเลย การรับเขตอำนาจศาลโลกของประเทศไทยจึงขาดอายุลงตั้งแต่วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๐๓ เป็นต้นมา
แล้วทำไมถึงต้องขึ้นศาลโลกคดีเขาพระวิหาร
เพราะการยื่นคำขอต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศของกัมพูชาเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๔ กัมพูชาขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินว่า ไทยมีพันธกรณีที่ต้องเคารพบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา ซึ่งดินแดนนั้นถูกกำหนดขอบเขตในบริเวณปราสาทพระวิหารและพื้นที่ใกล้เคียงโดยเส้นที่ปรากฏบนแผนที่ภาคผนวก ๑ (การให้ศาลยุติธรรมตีความคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหารที่ศาลได้ตัดสินไปเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕)
นักวิชาการบางคนมองว่า การยื่นคำฟ้องในครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นการฟ้องคดีใหม่ แต่เป็นการตีความคดีเก่าที่ศาลโลกได้ตัดสินไปแล้วเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งไทยได้ยอมรับอำนาจศาลแล้วในครั้งนั้น จึงเป็นการถ่ายทอดมาจากคดีเดิม
เมื่อรัฐสภากัมพูชาจะเอาคดีใหม่ ปราสาทตาเหมือนธม ปราสาทตาเหมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่มุมไบ (สามเหลี่ยมมรกต-บริเวณช่องบก) เข้าสู่ศาลโลก จะเป็นการยื่นฝ่ายเดียว
ไม่เข้าเกณฑ์ที่ศาลโลกจะพิจารณา
ถามว่าทางกัมพูชารู้หรือไม่
เขารู้
แต่เพราะการเมืองด้อยพัฒนาไงครับ ปลุกกระแสชาตินิยมหลอกชาวบ้าน เพื่อสร้างคะแนนนิยม โดยไม่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
รัฐบาลไทยก็ดันไม่หือไม่อือด้วยน่ะสิครับ ไม่รู้สมคบคิดทำอะไรกันอยู่หรือเปล่า
มันจึงเป็นเรื่องน่าประหลาด ที่หาคนมาอธิบายความให้ตรงประเด็น เพื่อลดความกังวลของประชาชนไม่ได้
หรือมีเจตนาอื่น
บนพื้นฐานที่ “ทักษิณ” กับ “ฮุน เซน” สนิทชิดเชื้อกัน น่าจะมีการพูดคุยกันก่อนที่ทางกัมพูชาจะแสดงท่าทีดุเดือดเลือดพล่านแบบนี้
แต่ภาพที่ออกมา ตั้งตนเป็นศัตรูกัน
เรื่องนี้ซับซ้อนครับ
รัฐบาลแพทองธารคะแนนนิยมดิ่งเหว แต่ก็แปลกเหมือนตั้งใจให้เป็นแบบนั้น
หรือมีเรื่องอื่นซ่อนอยู่เพื่อปูทางให้ใครบางคนใช้เป็นเงื่อนไขทำอะไรบางอย่าง
น่าจะไม่นาน คงได้เห็น.
