เห็นลูกสาวออกมายืนยันแล้วเสียวแทน…
วานนี้ (๖ พฤษภาคม) แพทองธาร ชินวัตร ให้สัมภาษณ์เรื่องพ่อ ฟังแล้วสบายใจครับ รู้สึกโล่งอก พ่อป่วยจริง ผ่าตัดด้วย
“…อย่างที่ดิชั้นบอกไปช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถ้าดิชั้นพูดแล้วจะเชื่อกันหรือไม่…”
“…ป่วยจริงค่ะ มีการผ่าตัดด้วย…”
“…กำลังจะบอกว่าคิดเยอะมากเลย อย่างวันที่ ๑๓ มิถุนายน เขานัดมาอย่างไรเราก็ไปตามกระบวนการ เดี๋ยวมันต้องมีหลักฐานเอกสารที่คุณพ่อต้องเอาไปยืนยัน…”
“…ความจริงแล้วเรามั่นใจอยู่แล้วว่าความจริงเกิดอะไรขึ้นบ้าง พูดจริงๆ ว่าพออยู่ในจุดที่สงสัยอย่างต่อเนื่อง มันก็สงสัยอย่างต่อเนื่อง
แต่ถ้าถามว่าให้ดิชั้นออกมาพูดถึงความชัดเจนอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่ออยู่ดี คนเลือกที่จะไม่เชื่อก็จะไม่เชื่อ คิดว่าถ้ามันมีอะไรเพิ่มเติมก็อย่างนั้น
ทุกวันนี้คุณพ่อก็อายุ ๗๕ แล้ว เวลาเจ็บป่วยอะไรก็เห็นได้ชัดว่าหายช้ากว่าปกติ แต่ไม่เป็นไรเพราะความจริงแล้วครอบครัวดิชั้นผ่านเรื่องต่างๆ มามาก สิ่งที่ทำได้ต้องเข้มแข็งไว้ อันนั้นคือสิ่งที่ต้องทำ
เราจะมี mind month เดือนแห่งสุขภาพใจกันแล้วเร็วๆ นี้ เป็นสิ่งสำคัญว่าเราต้องดูแลสุขภาพใจของเราด้วยทุกคน ทำใจให้เบิกบานสดใสไว้ ถ้าเรามีความโกรธ ความเกลียดชังอะไรมากมาย มันไม่ดีกับตัวเราเอง…”
ก็คงจะป่วยจริงแหละครับ!
เป็นหวัดคัดจมูกก็ถือว่าป่วย
แต่อาการป่วยที่สังคมสงสัยคือป่วยหนัก มีความเสี่ยงถึงชีวิต หากไม่มีหมออยู่ใกล้ๆ
อย่างน้อยก็โล่งครับที่ “ทักษิณ” จะเอาหลักฐานเอกสารไปยืนยันกับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ยังอยู่ครับยังไม่ไปไหน
เอาเป็นว่าช่วยขนเอกสารไปเยอะๆ ครับ
ไม่ใช่ ๓ กระดาษ A4
“แพทองโพย” ลืมอะไรไปหลายอย่างครับ
ที่ผู้คนไม่เชื่อว่า “ทักษิณ” ป่วยจริง ไม่ใช่เลือกที่จะไม่เชื่อ
แต่ไม่เชื่อเพราะครอบครัวคุณสร้างความอึมครึม ปิดลับทุกอย่าง ทั้งที่สิ่งที่ปิดนั้นมันเป็นประโยชน์ต่อตัว “ทักษิณ” ด้วยซ้ำ
แทนที่จะโชว์สื่อว่าป่วยจริง พาสื่อในสังกัดขึ้นไปชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจ
ถ่ายภาพ “ทักษิณ” นอนป่วยสาหัสเป็นตายเท่ากัน มีหมอยืนอยู่ไม่ห่าง แค่นี้ก็จบแล้ว ไม่ต้องมาดัดจริต ต่อว่าคนที่ไม่เชื่อ
ไม่ต้องมีคนไปร้อง ป.ป.ช.
แพทยสภาไม่ต้องมาปวดกบาลกับเรื่องนี้
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ไม่ต้องเรียกไต่สวน
ตอนนี้เรื่องราวมันลุกลามใหญ่โตเกินไปแล้วครับ ความชัดเจนตอนนี้จึงซับซ้อน เพราะความชัดเจนอาจมาจากการสร้างหลักฐานเท็จก็ได้
และ “แพทองโพย” รับรู้ไว้นะครับว่า ได้เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเรื่องราวอันลึกลับซับซ้อนนี้เต็มตัวแล้ว
แค่คำพูดว่า “ป่วยจริง ผ่าตัดด้วย” อาจถึงขั้นทำให้หลุดจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้
คนชื่อ “ทักษิณ” ที่พูดถึงกันอยู่นี้ คือบุคคลที่ต้องโทษจำคุกจากคดีคอร์รัปชัน
แต่ไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว
ถูกสงสัยว่าใช้อิทธิพลทางการเมืองเพื่อให้ตัวเองไปนอนที่ห้องวีไอพี
นายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย กลับมายืนยันบุคคลที่มีเรื่องอยู่ใน ป.ป.ช. ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ระวังเอาไว้นะครับ สุดท้ายจะขว้างงูไม่พ้นคอ
ในภาพรวม “แพทองโพย” เข้าเยี่ยม “ทักษิณ” หลายครั้ง ย่อมรู้ดีว่า พ่อป่วยจริงหรือป่วยทิพย์
ไม่อยากนึกภาพเลยครับหากผลสอบจริยธรรมของแพทยสภาออกมาว่า มีแพทย์ทำผิดในกรณีนี้จริง รวมทั้งหากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สั่งบังคับโทษจำคุก ๘ ปี “ทักษิณ” เสียใหม่ เก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ “แพทองโพย” จะอยู่ดีหรือไม่
เพราะนักร้องน้องรัก จะเข้าแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง ร้องเอาผิด ม.๑๕๗ โทษฐานรู้อยู่แล้วว่าป่วยทิพย์กลับช่วยปิดบัง
แถมยังถูกร้องละเมิดมาตรฐานทางจริยธรรมอีกกระทง
ฉะนั้นขอให้รับรู้ไว้ว่า ถ้าถูกจับได้ว่าป่วยทิพย์ “ทักษิณ” คือคนที่ล้มรัฐบาลด้วยตัวเองอย่างเจ็บแสบที่สุด
การช่วยคนคนเดียวไม่ให้ติดคุก ๑ ปี ต้องแลกด้วยรัฐบาล ๑ รัฐบาล
คุ้มหรือไม่ไปคิดเอา
อีกประเด็นที่ “แพทองโพย” บอกว่ามีการผ่าตัด ก็คงจะมีการผ่าจริง แต่โรคที่ผ่าตัดคือโรคที่ทำให้ “ทักษิณ” เป็นผู้ป่วยวิกฤตหนักห่างหมอไม่ได้หรือเปล่า
นายกฯ ต้องแยกให้ออกนะครับ ระหว่างผู้ป่วยวิกฤตเช่นหัวใจพร้อมหยุดเต้นตลอดเวลา กับผู้ป่วยที่เข้าผ่าตัดโรคเอ็นเปื่อยยุ่ยนั้นเกณฑ์ของกรมราชทัณฑ์นั้นมันคนละเกณฑ์กัน
และในข้อเท็จจริงเพิ่งนำกลับมาตอกย้ำเมื่อไม่กี่วันก่อนว่า คณะแพทย์ที่ยื่นเรื่องร้องเรียนไปยังแพทยสภานั้น ได้ตั้งข้อสังเกตในทางการแพทย์เอาไว้อย่างชัดเจน
“…การเจ็บป่วยอื่นใดของข้อไหล่ ซึ่งไม่ใช่กระดูกหัก/ข้อเคลื่อนจาก Major Injury หรือทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาทสำคัญตรงกลุ่มเส้นประสาทในรักแร้ Brachial Plexus และหลอดเลือดใหญ่ใต้กระดูกไหปลาร้าและในรักแร้ในผู้สูงอายุมากกว่า ๗๐ ปี ขณะที่ผู้ป่วยอยู่ในวิกฤตทางอายุรกรรม เป็นการเจ็บป่วยที่ไม่จำเป็นต้องทำการผ่าตัดแบบฉุกเฉิน สามารถรักษาตามอาการแบบประคับประคอง…”
แต่ลูกสาวทักษิณกลับนำอาการป่วยที่ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดฉุกเฉิน มากล่าวอ้างสร้างความชอบธรรมให้พ่อ
ในมุมของนายกฯ แพทองโพย จึงเป็นการทำหน้าที่ลูกโดยละทิ้งการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี
คดีความจะไล่กันเป็นงูกินหาง
สุดท้ายนายกฯ แพทองโพย ต้องพ้นเก้าอี้
ที่สำคัญ อาจถึงจุดสิ้นสุดของนักการเมืองตระกูลชินวัตร
เพราะพ่อกลับไปติดคุก
ส่วนลูกสาวหลุดจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
ใครว่าชั้น ๑๔ เปลี่ยนประเทศไม่ได้ คิดผิดคิดใหม่ได้ครับ
อาจได้เลือกตั้งใหม่เร็วๆ นี้.
