ผักกาดหอม
เห็นแล้วขนลุกซู่…
เป็นไงครับ ห้องวีไอพีชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจ ที่ “หมอวรงค์ เดชกิจวิกรม” พาไปทัวร์
ห้องสวีต โรงแรมห้าดาว ดีๆ นี่เอง
ถ้าคิดค่าห้องพักเป็นคืน หลักหมื่นยันหลักแสน
“ทักษิณ” นอนชั้น ๑๔ ประมาณ ๑๘๙ วัน
แค่คืนละหมื่น ก็ปาเข้าไป ๑.๙ ล้านบาทแล้ว
นี่ยังไม่รวมค่าหมอ ค่ายา ค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์
ใครออกค่าใช้จ่าย?
ถ้าเอาตาม “นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข” ผอ.ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ที่เคยไปชี้แจงคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ก่อนหน้านี้ ได้ความว่า
“เรื่องค่าห้องและค่ารักษาคุณทักษิณนั้น อยู่ที่ ๘,๕๐๐ บาทต่อวัน รวมค่ารักษาอยู่ที่ประมาณ ๑ ล้านบาท ไม่มีข้อมูลว่าใครเป็นผู้จ่าย แต่ผู้ต้องขังทุกคนที่อยู่ในโรงพยาบาลจะได้รับการรักษาโดยไม่มีค่าใช้จ่ายในทุกกรณี ยกเว้นกรณีที่เกินสิทธิ ผู้ต้องขังหรือญาติผู้ต้องขังต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนี้ ยืนยันว่ากรณีผู้ต้องขังเจ็บป่วยฉุกเฉินจะได้รับการรักษาตัวทันท่วงทีเป็นบรรทัดฐานเดียวกัน…”
ก็ไม่รู้ใครจ่าย
“ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรียุติธรรม เคยบอกว่า “ทักษิณ” จ่ายเอง
ขนหน้าแข้งไม่ร่วงครับ แต่อยากเห็นใบเสร็จ เพราะเรื่องนี้มีความละเอียดอ่อนสูง หากมีการใช้เงินภาษีประชาชนจ่าย ต้องตอบคำถามกันอีกยาว
ครับ…พูดกันในส่วนของแพทยสภาไปเยอะแล้ว มาว่ากันในส่วนของกรมราชทัณฑ์บ้าง
กรมราชทัณฑ์ส่งตัว “ทักษิณ” ไปนอนห้องวีไอพี ไม่ใช่ส่งตัวขาด แต่ต้องติดตามไปดูอย่างใกล้ชิดด้วย เพราะต้องตั้งสมมติฐานไว้ก่อนว่านักโทษทุกคนอาจใช้จังหวะนี้ในการหลบหนีได้
จึงต้องปฏิบัติตามประกาศกรมราชทัณฑ์ เรื่อง กำหนดคุณสมบัติเฉพาะ ลักษณะต้องห้าม และวิธีการคุมขังผู้ต้องขังในสถานที่คุมขัง ตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.๒๕๖๖ พ.ศ.๒๕๖๘ อย่างเคร่งครัด
…ข้อ ๗ เงื่อนไขและข้อห้ามในส่วนของผู้ดูแลสถานที่คุมขัง
ให้มีอย่างน้อย ดังนี้
(๑) ติดตั้งกล้องวงจรปิดบริเวณที่เจ้าพนักงานเรือนจำกำหนด โดยผู้ดูแลสถานที่คุมขังหรือนักโทษเด็ดขาดผู้ได้รับการพิจารณาให้ออกไปคุมขังในสถานที่คุมขัง เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายดังกล่าว
(๒) จัดให้มีระบบอินเทอร์เน็ตส่งภาพในกล้องวงจรปิดให้เรือนจำตรวจสอบได้ตลอดเวลา
(๓) ยินยอมที่จะเปิดเผยข้อมูลในระบบสารสนเทศของกรมราชทัณฑ์
(๔) รายงานการกำกับดูแล และให้คำแนะนำแก่ผู้ต้องขังให้ปฏิบัติตนตามเงื่อนไขและไม่ฝ่าฝืนข้อห้ามที่กำหนดไว้ ให้เจ้าพนักงานเรือนจำตามระยะเวลาที่กำหนดอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้งหรือเมื่อถูกร้องขอ
(๕) แจ้งเจ้าพนักงานเรือนจำในทันที กรณีผู้ต้องขังที่ดูแลเกิดการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิต
(๖) ขออนุญาตเจ้าพนักงานเรือนจำทุกครั้ง เมื่อต้องพาผู้ต้องขังที่อยู่ในความดูแลออกไปในสถานที่ที่ได้รับอนุญาต แต่ไม่อยู่ในตารางเวลาที่กำหนดไว้
(๗) ควบคุมดูแลผู้ต้องขังให้อยู่ในพื้นที่คุมขังในช่วงเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด
(๘) กำกับดูแลผู้ต้องขังให้ปฏิบัติตามแผนการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังรายบุคคลในสถานที่คุมขังที่คณะทำงานเพื่อจำแนกลักษณะของผู้ต้องขังประจำเรือนจำกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด หากมีปัญหาในการปฏิบัติตามแผน จะให้ผู้ต้องขังรีบแจ้งเจ้าพนักงานเรือนจำให้ทราบโดยเร็วเพื่อดำเนินการตามแนวทางที่กรมราชทัณฑ์กำหนด และดำเนินการจำแนกลักษณะผู้ต้องขังซ้ำ
(๙) บันทึกและเปิดเผยรายชื่อ วัน และเวลาของผู้มาเยี่ยมนักโทษเด็ดขาดที่อยู่ในความดูแลตามระเบียบของทางราชการ
(๑๐) จะไม่ประพฤติตนและไม่ให้ผู้ต้องขังประพฤติตนในทางเสื่อมเสีย เช่น เล่นการพนัน ดื่มสุรา แอลกอฮอล์ ของมึนเมา คบหาคนอันธพาลหรือบุคคลที่อาจนำไปสู่การกระทำผิดกฎหมายอีก เป็นต้น
(๑๑) จะไม่เกี่ยวข้องและไม่ให้ผู้ต้องข้องเกี่ยวข้องกับสารระเหย วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตหรือประสาท หรือยาเสพติดให้โทษทุกประเภท รวมทั้งอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิดทุกชนิด
(๑๒) ยินยอมให้เจ้าพนักงานเรือนจำตรวจดูสถานที่คุมขัง รวมถึงต้องแสดงภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหวของตนเองในสถานที่คุมขังเมื่อถูกร้องขอจากเจ้าพนักงาน
(๑๓) กำกับดูแลผู้ต้องขังในการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว ทั้งไม่ทำลายอุปกรณ์ติดตามตัว หรือทำให้เกิดความเสียหายด้วยประการใดๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการติดตาม สอดส่องพฤติกรรมด้วยอุปกรณ์ติดตามตัว ภายในระยะเวลาที่เหลือจำต่อไปในสถานที่คุมขังดังกล่าว หากปรากฏว่าผู้ต้องขังไม่ยอมติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว หรือทำลายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว หรือทำให้เกิดความเสียหายด้วยประการใดๆ ให้ถือว่าผู้ดูแลสถานที่คุมขังกระทำผิดเงื่อนไข และให้เรือนจำ/ทัณฑสถานดำเนินการจับกุมตัวผู้ต้องขังกลับเข้าคุมขังในเรือนจำโดยไม่ต้องมีหมายจับ
(๑๔) ยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองแก่หน่วยงานรัฐ เพื่อเป็นข้อมูลในการให้คำแนะนำ ปรึกษา ดูแล ช่วยเหลือ และให้การสงเคราะห์แก่นักโทษเด็ดขาด และการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการ
(๑๕) ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงคำแนะนำอื่นใดของเจ้าพนักงานเรือนจำ
(๑๖) ผู้ที่ได้รับการพิจารณาให้เป็นผู้ดูแลสถานที่คุมขังไปคุมขังจะต้องแสดงหนังสือสำคัญนี้ต่อเจ้าพนักงานเรือนจำ พนักงานฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อมีการเรียกให้แสดง หากหนังสือฉบับนี้สูญหายให้รีบแจ้งต่อเจ้าพนักงานเรือนจำและขอรับฉบับแทน ถ้าไม่แสดงหนังสือสำคัญดังกล่าวถือว่าผิดเงื่อนไข และให้เรือนจำ/ทัณฑสถานดำเนินการจับกุมตัวผู้ต้องขังกลับเข้าคุมขังในเรือนจำโดยไม่ต้องมีหมายจับ
อนึ่ง ในตอนที่มอบหนังสือสำคัญ ให้เจ้าพนักงานเรือนจำแจ้งหรือกำหนดไว้ในหนังสือด้วยว่า ในกรณีที่ผู้ดูแลสถานที่คุมขังให้ความช่วยเหลือหรืออำนวยความสะดวกให้ผู้ต้องขังกระทำผิดเงื่อนไข จนเป็นเหตุให้ผู้ต้องขังดังกล่าวกระทำผิดอาญาหรือหลบหนีไป ผู้ดูแลสถานที่คุมขังอาจต้องถูกดำเนินคดีอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับความผิดที่เกิดขึ้นด้วย….
จะเห็นภาพรวมประกาศฉบับนี้มีความเข้มงวดในการควบคุมดูแลผู้ต้องขังนอกเรือนจำ
แต่ข่าวสารก่อนหน้าอย่างที่ทราบกัน มีการอ้างว่ากล้องวงจรปิดชั้น ๑๔ เสียทั้งหมด
ในการไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คงจะมีการพูดถึงประเด็นนี้เช่นกัน เพราะเป็นข้อปฏิบัติพื้นฐานที่กรมราชทัณฑ์ไม่อาจละเลยได้
“ทวี สอดส่อง” ยังชี้แจงในคณะกรรมาธิการฯ ว่า
“…ท่านไปอ่านกฎกระทรวงให้ดี เขาใช้คำว่าห้องควบคุมพิเศษ ไม่ใช่ห้องพิเศษ แล้วอำนาจเขาไม่ใช่หมอด้วย เขาบอกว่าโรงพยาบาล โรงพยาบาลตำรวจเขาก็ไม่ให้ใครมาปองร้าย ท่านทราบไหมว่าท่านอดีตนายกฯ เคยถูกคาร์บอมบ์…”
ย้อนแย้งอย่างสิ้นเชิงครับ
กลัวถูกปองร้าย แต่กล้องวงจรปิดเสีย ไม่มีการซ่อมอย่างยาวนาน ๑๘๙ วัน
ถ้ามีมือปืนบุกยิง “ทักษิณ” ในห้องวีไอพี จะเอาหลักฐานที่ไหนตามตัวคนร้ายครับ
ยิ่งกว่ากลัดกระดุมเม็ดแรกผิดครับ
มันผิดมาตั้งแต่เย็บเสื้อแล้ว.
