ผักกาดหอม
โหมโรงซักฟอกนายกฯ….
เลขที่ออก… ฝ่ายค้านได้เวลาอภิปราย ๒๘ ชั่วโมง
คณะรัฐมนตรีกับพรรคร่วมรัฐบาลได้เวลา ๗ ชั่วโมง
เหลือให้ประธานในที่ประชุม ๒ ชั่วโมง
ทางรัฐบาลเขาจัดสรรเวลา ให้ สส.ประท้วงวันละ ๑ ชั่วโมง รวม ๒ วันก็ ๒ ชั่วโมง
ที่เหลือ ๕ ชั่วโมงให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีชี้แจง
สรุปว่าอภิปราย ๒ วัน
วันแรกคือ ๒๔ มีนาคม จะไปจบเวลา ๒๓.๓๐ น. วันที่ ๒๕ มีนาคม
ลงมติเช้าวันที่ ๒๖ มีนาคม
ก็รับทราบตามนี้นะครับ
แต่ถึงเวลาอภิปรายจริงจะเป็นอีกเรื่อง เพราะฝ่ายค้านเอ่ยชื่อ “ทักษิณ” เมื่อไหร่ องครักษ์จะลุกขึ้นประท้วงเมื่อนั้น
ที่ตกลงกันไว้ว่าให้ประท้วงวันละ ๑ ชั่วโมง ไม่น่าจะเอาอยู่
เพราะไม่ใช่ฝั่งรัฐบาลฝ่ายเดียวที่จะประท้วง
ฝ่ายค้านก็มีเรื่องให้ต้องประท้วงเช่นกัน หากนายกฯ เล่นบทถามม้าตอบช้าง หรือเอาแต่โยนให้รัฐมนตรีช่วยตอบข้อซักถามแทน
ฉะนั้นอาจต้องเสียเวลาไปกับการประท้วง ๒-๓ ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ
แค่เปิดฉากมากว่าจะเข้าญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ ก็เสียเวลาหารือกับท่านประธานไปแล้วไม่ต่ำกว่าชั่วโมง
ขึ้นชื่อว่า สส.มีเรื่องให้พูดเยอะครับ
เป็นไปตามคาดครับ หลังจากฝ่ายค้านเปลี่ยนข้อความในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตัดชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ออก ใส่คนในครอบครัวแทน “หัวหน้าเท้ง” บอกว่าอาจมีการพาดพิงไปถึง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ด้วย
“…ทำให้สามารถอภิปรายได้กว้างขึ้น
และธีมในการอภิปรายครั้งนี้คือ ‘ดีลแลกประเทศ’
ซึ่งหมายความว่า เรามองเห็นว่าพรรคเพื่อไทยนำประโยชน์ของประเทศมาแลกกับผลประโยชน์ของคนในครอบครัว
และเชื่อว่าในการอภิปรายจริง จะมีการใช้คำอีกหลากหลาย มากกว่าคำว่าบุคคลในครอบครัว เพราะคำนี้เป็นภาษาทางการในญัตติ ซึ่งค่อนข้างมีความเหมาะสม
ก็มีความเป็นไปได้จะอภิปรายถึงคุณยิ่งลักษณ์ ถ้าอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง
เพราะเรามองว่าการบริหารที่ผ่านมา รัฐบาลไม่ได้เอาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นตัวตั้ง แต่เอาผลประโยชน์ของบุคคลในครอบครัวชินวัตรเป็นตัวตั้งมากกว่า…”
ก็เตรียมตัวไว้ครับคนใน “ตระกูลชินวัตร” ล้วนเป็นคนในครอบครัวทั้งสิ้น
แต่เรื่องเนื้อหาการอภิปราย ยังต้องลุ้นกันต่อไปว่า ฝ่ายค้านโดยเฉพาะพรรคส้ม จะสามารถล้มรัฐบาลได้หรือไม่
อาจไม่สามารถล้มเพราะเสียงโหวต เพราะถึงนาทีนี้พรรคร่วมรัฐบาลเขาจัดสรรผลประโยชน์ลงตัวกันเรียบร้อย ยากที่่จะมีการแหกโผ
คงต้องลุ้นว่า หลักฐานของฝ่ายค้านจะไปถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่
แต่การกระทำ พฤติกรรมของรัฐบาล มีเรื่องให้พูดถึงเยอะครับ อาจไม่ถึงกับล้มรัฐบาลได้เพราะการเมืองไทย ทนหายห่วงอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยเป็นการให้ความรู้ประชาชนว่า สิ่งที่รัฐบาลทำจะส่งผลอย่างไรต่อประชาชนในอนาคต
เอาแค่เรื่องแจกเงินหมื่นเรื่องเดียว ความร้ายแรง ไม่น้อยไปกว่าโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ที่แจกไปแล้วพายุหมุนไม่ได้เกิดขึ้นจริง
แถมยังมีเงินจำนวนหนึ่งไหลออกไปต่างประเทศ
ล็อตแรกกลุ่มเปราะบาง ๑๔ ล้านคน มีการสำรวจหรือไม่ว่า นำไปซื้อโทรศัพท์มือถือกี่คน
ถ้ารู้จำนวน ก็คูณราคาโทรศัพท์มือถือเข้าไป นั่นคือเงินที่ไหลออก
แจกเด็กอายุ ๑๖-๒๐ ปี จำนวน ๒.๗ ล้านคน เงินจะไหลออกยิ่งกว่ากลุ่มเปราะบาง เพราะวัยนี้ถ้ามีเงิน จะเป็นวัยที่ต้องการซื้อโทรศัพท์มือถือในราคาเต็มหมื่นมากกว่ากลุ่มอื่น
ฝ่ายค้านต้องไปหาตัวเลขที่ชัดเจนให้ได้ว่า ที่แจกไปแล้ว กระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่
หรือไปกระตุ้นต่อมจับจ่ายสินค้านำเข้า ทำให้ประชาชนเป็นหนี้เพิ่ม ประเทศไม่ได้อะไร
“รศ. ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล” อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เกาะติดการทำงานของรัฐบาล เห็นอะไรเยอะครับ
“…ในทางเศรษฐศาสตร์ มาตรการการใช้จ่ายของรัฐบาลในรูปแบบที่ไม่ใช่เงินสด อาทิ การให้วงเงินจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาทแก่เยาวชน เพื่อสามารถใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังหรือทางรัฐ มีข้อดีมากกว่าการให้เป็นเงินสด เพราะสามารถควบคุมการใช้จ่ายของประชาชนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่รัฐวางไว้ และไม่ทำให้คุณภาพทรัพยากรมนุษย์แย่ลง
เช่น ประชาชนไม่สามารถใช้จ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชันเพื่อซื้อยาเสพติด เหล้า บุหรี่ หรือเล่นการพนัน
โครงการช่วยเหลือด้านอาหาร (Supplementary Nutrition Assistance Program: SNAP) ในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้นแบบของมาตรการดิจิทัลวอลเล็ต ที่รัฐบาลกำหนดให้ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถใช้จ่ายผ่านบัตรหรือแอปพลิเคชัน เพื่อซื้ออาหารที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ เช่น ไข่ เนื้อ นม ผัก โดยไม่สามารถซื้อสุรา บุหรี่ ซึ่งเป็นสินค้าอบายมุขได้…”
“…เห็นได้ว่า นอกจากโครงการนี้จะส่งเสริมวัฒนธรรมใช้จ่ายเงินเกินตัว โดยขาดความรับผิดชอบให้แก่เยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติ
ยังเป็นกรณีการนำภาษีของประชาชนทั้งประเทศ กระตุ้นให้เยาวชนลุ่มหลงมัวเมาในอบายมุข จนยากที่จะพัฒนาตนเองให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศชาติได้…”
ครับ…นี่ไม่ใช่ข้อมูลที่ทำให้รัฐบาลตายคาสภาได้
แต่นี่แหละครับคือข้อมูลที่บ่งบอกว่ารัฐบาลกำลังทำให้ประเทศพินาศแบบผ่อนส่ง
ประชาชนกลับมาเสพติดนโยบายประชานิยมสุดขั้วที่ไม่ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอีกครั้ง
ขออย่างเดียวอย่าให้เวทีการซักฟอกกลายเป็นเวที “รัฐบาลฝึกงานฝ่ายค้านอ่อนหัด”
