เปลว สีเงิน
เห็นว่า หลังอภิปราย “ไม่ไว้วางใจ” รัฐบาลจะปรับครม.
แต่ดูแล้ว ผมว่า….
น่าจะ “เปลี่ยนครม.” ไปเลย มากกว่าปรับนะ!
เพราะตั้งแต่เพื่อไทยเป็นรัฐบาล ทักษิณส่งลูกสาวนั่งแป้นนายกฯแล้วตัวเองคอยปั่นอยู่ข้างหลัง
บ้านเมืองก็ถอยหลัง สังคมชาติมองไม่เห็นอนาคต เห็นแต่ลางวิบัติ จากนโยบาย แปลงประเทศเป็น “ทุนอบายมุข”
ตั้งบ่อนกาสิโน ทำพนันออนไลน์
๒ อย่างนี้ “กูได้” แต่สังคมชาติ “ฉิบหาย”เห็นๆ!
แต่ก็ยังไม่สมใจเพื่อไทย ให้เปิดขายสุรายาเมาได้ไม่เว้นแม้วันสำคัญทางพุทธศาสนา ทั้งให้ตั้งผับ-บาร์ เต้นจ้ำบ๊ะได้ ประชิดติดวัด
นั่นด้านเศรษฐกิจ-สังคม
ด้านความมั่นคง ในความเป็นราชอาณาจักรไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เริ่มสั่นคลอน จากปฎิบัติการ “เพื่อไทย+พรรคประชาชน” ที่เดินหน้าเต็มสูบ “แก้ไขรัฐธรรมนูญ” มาตรา ๒๕๖
เป้าหมาย “ฉีก” ฉบับปราบโกงทิ้ง
แล้วตั้งสสร. “เขียนใหม่” ทั้งฉบับ เป็นรัฐธรรมนูญ ฉบับ “แดงส้มอภิวัฒน์!
แต่ทางเดินไม่นิ่มตีน เพราะพรรคร่วม โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีเสียงเป็นอันดับ ๒ ไม่เอาด้วย
ทั้งการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อ “ฉีก-เขียนใหม่” ก็ต้องอาศัยเสียงสว.สนับสนุน
แต่ “สว.แดง-ส้ม” มีน้อยกว่า “สว.สีน้ำเงิน”
หมายถึงการ “แก้เพื่อฉีก” นั้น ไปไม่ถึงฝั่งแน่ เพราะ “ติดด่าน” สว.สีน้ำเงิน
ดังนั้น ปฎิบัติการใช้ DSI กำจัด ๑๓๘ สว.สีน้ำเงิน ออกไปให้พ้นทาง ด้วยการตั้งข้อหา “อั้งยี่-ซ่องโจร-ฟอกเงิน” จึงเริ่มดังที่เห็น
แต่ “ก้าวแรก” ก็พลาดแล้ว!
เรื่องการเลือกสว.มันอยู่ในเขตอำนาจกกต.ตาม “พรป.กกต.” และ “พรป.สว.” ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ DSI จะเข้าไปยุ่มย่าม
ถึงรัฐมนตรียุติธรรมบอก “เอกสาร-หลักฐาน” ฮั้วเลือกสว.เพียบ
จะเพียบขนาดไหน รัฐมนตรียุติธรรมก็ต้องส่งเอกสาร-หลักฐานนั้น ไปให้กกต.จัดการ
ไม่ใช่ DSI จะตั้งเป็นคดีพิเศษ เพื่อทำเอง!
ประเด็น ที่ออกข่าวประโคมปูทางให้ DSI เป็นพระเอก ให้สว.สีน้ำเงินเป็นผู้ร้าย นั้น
นึกถึงคำท่าน “เติ้ง เสี่ยวผิง” อดีตประธานาธิบดีจีนขึ้นมาติดหมัด ท่านบอกว่า “แมวสีอะไรไม่สำคัญ ถ้าจับหนูได้ ถือว่าเป็นแมวที่ดี”
๑๓๘ สว.สีน้ำเงิน ที่ขบวนการนอกอำนาจรัฐธรรมนูญส่งสัญญานคว่ำนิ้วโป้ง เพื่อกรุยทาง “แก้เพื่อฉีก” รัฐธรรมนูญไร้ตัวขัดขวาง นั้น
ประยุกต์เข้า “คติพจน์” ท่านเติ้ง เสี่ยวผิง ได้ว่า
“หมาจะพันธุ์ไหนไม่สำคัญ ถ้าเห่าโจรไม่ให้เข้าปล้นบ้านได้ ถือว่าเป็นหมาที่ดี”
นี่ก็จะสิ้นเดือนกุมภา.แล้ว กุมภา.ปีนี้ “สั้น” มีแค่ ๒๘ วัน แต่เดือนหน้า เดือนมีนา. “ยาว” เพราะมี ๓๑ วัน
แต่เป็น “ยาวในสั้น” ของอายุรัฐบาลเพื่อไทย!
จะบอกว่า เดือนมีนา.เป็นเดือน “สุกดิบ” ของรัฐบาลก็ไม่น่าผิดจากที่จะเป็นจริง
สนิมเกิดจากเนื้อในตน ฉันใด กรรมที่ทำต่อชาติบ้านเมืองไว้ ก็จะเป็นสนิมในเนื้อทำลายตน ฉันนั้น
ปลาย “มีนา.-ต้นพฤษา.” น่าจะถึงวาระ “ประชุมเพลิง”!?
แต่วันนี้ ๒๗ กุมภา. “พรรคฝ่ายค้าน” โดยพรรคประชาชน จะไปยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลต่อประธานรัฐสภา
ส่วนรายชื่อรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายมีใครบ้าง บ้างว่ามี ๑๐ บ้างว่า ๗ บ้างว่า นายกฯ “แพทองธาร” คนเดียว
จะ ๑๐ จะ ๗ จะคนเดียว เดี๋ยวก็รู้
ฝ่ายรัฐบาลกำหนดวัน ๒๔-๒๘ มีนา.ให้เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก่อนจะปิดสมัยประชุมราวๆ ต้นเมษา.
งานนี้ คงสนุก นัยว่า “พลเอกประวิตร” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะเข้าสภาคุมทีมอภิปรายใน ๔ ประเด็น
-ที่ดินอัลไพน์
-การพักรักษาตัวชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจของทักษิณ
-กาสิโน “เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” และเรื่อง
-MOU 2544
อภิปรายปลายเดือนมีนา..ซึ่งเข้าโซน “วันสุกดิบ” ของรัฐบาลพอดี
แต่การผลักดันเรื่อง “แก้พื่อฉีกรัฐธรรมนูญ” ตั้งสสร.เขียนใหม่ ดูจะไม่เป็นไปตามแผน “เพื่อไทย+ประชาขน” ซักเท่าไหร่
เพราะท่านประธานวันนอร์ แถลงเมื่อวาน (๒๖ ก.พ.๖๘) ว่า ก่อนหน้าเปิดอภิปรายซักสัปดาห์ ราวๆ ๑๗ มีนา.จะเปิดประชุมร่วม ๒ สภา ก่อน
เพื่อพิจารณาญัตติของสว.เปรมศักดิ์ เพียยุระ และของ สส.วิสุทธิ์ ไชยณรุณ พรรคเพื่อไทย
ที่ขอให้รัฐสภาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ต้องทำประชามติหรือไม่ และทำกี่ครั้ง?
๑๗ มีนา.ก็จะถามที่ประชุมรัฐสภาว่า “เห็นด้วยที่จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความหรือไม่”?
ถ้าเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วย ก็ส่ง ถ้าไม่เห็นด้วย ก็ไม่ส่ง
เราเคยคุยประเด็นนี้กันไปแล้ว ว่า “ถามซ้ำซาก” เพราะศาลฯ มีคำวินิจฉัยแล้ว ประเด็นทำประชามติ และต้องทำกี่ครั้ง
ถ้าเสียงส่วนใหญ่ให้ส่งศาลฯตีความอีก ศาลก็ตีตกอีกเชื่อเถอะ
แต่ประเด็นสำคัญอยู่ตรง ถ้าส่งแล้วศาลฯ รับไว้วินิจฉัย การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๕๖ เพิ่มเติมหมวด ๑๕/๑ ที่รีบเร่งจนลุกรี้-ลุกลน ต้อง “หยุดรอ” ไว้ก่อน
จนกว่าศาลฯ จะมีคำวินิจฉัยออกมาอย่างใด-อย่างหนึ่งจึงจะดำเนินต่อไปได้ ตามคำวินิจฉัยนั้น
หมายถึงว่า สภาจะปิดสมัยประชุมก่อน พรบ.ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฉีกเขียนใหม่ เข้าพิจารณาไม่ทันสมัยประชุมนี้แน่
ฉะนั้น แผน “เพื่อไทย+ประชาชน” ที่จะได้เลือกตั้งด้วยรัฐธรรมนูญฉบับเขียนเอง ในปี ๒๕๗๐ นั้น ยังไงก็ไม่ทัน!
นอกจากญัตติถามศาลรัฐธรรมนูญของสว.เปรมศักดิ์-สส.วิสุทธิ์แล้ว ยังมีเรื่องขำขันจากซีกรัฐบาลอีกตะหาก
คือรัฐบาลเพื่อไทย เขาอยากให้ครม.ทำหนังสือถึงศาลรัฐธรรมนูญ
“ขอศาลรัฐธรรมนูญระบุให้ชัดถึง “คำนิยาม” คนที่ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” มันเป็นยังไง?
เพื่อให้เกิดความชัดเจนเรื่องคุณสมบัติของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในครั้งไปต่อไป
ท่านรัฐมนตรีชูศักดิ์ ศิรินิล ก็อดีตอธิการบดีม.รามฯ ไม่รู้หรือว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่ที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาล
รัฐบาลเพื่อไทย ก็ไม่แปลกหรอก ที่ไม่รู้ว่า “ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” เป็นยังไง?
เพราะถ้ารู้ ด้วยใจด้านพอ การนำคนมาตั้งกินตำแหน่งหลายต่อหลายคน ทั้งการทำ “ไม่แคร์สังคม” อย่างที่เห็น ก็จะไม่เกิด
จากกรณี “นายเศรษฐา ทวีสิน” ตกเก้าอี้นายกฯ อ่านคำวินิจฉัยศาลฯ ก็รู้แล้วว่ากรอบของ “ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” เป็นยังไง อยู่ตรงไหน?
ไม่ต้องส่งไปถามศาลฯ ให้หน้าแหกอีก!
แสดงว่า หลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะปรับครม.เอา “คนเทาๆ” มาตั้งเป็นรัฐมนตรีให้เท่ๆ อีกละซีท่า?
จะบอกว่า “ไม่ต้องเตรียมปรับหรอก” ครม.นั่นน่ะ
นายกฯ เตรียมเก็บของออกจากทำเนียบ นั่นละชัวร์กว่า!
เรื่องนี้ เห็นท่าจะต้องจัด “รายการชิงโชค” ให้ตอบแบบสอบถามแล้วหละว่า….
ระหว่าง “๑๓๘ สว.สีน้ำเงิน” กับ “นายกฯแพทองธาร”
“ใครจะไปก่อนกัน”!?
เปลว สีเงิน
๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
“