12 กุมภาพันธ์ 2568 นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลบูรณาการความร่วมมือให้ทุกส่วนราชการกว่า 20 หน่วยงาน เช่น กรุงเทพมหานคร (กทม.) จังหวัด องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากร สำนักงานพาณิชย์จังหวัด จัดหางานจังหวัด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ให้ตรวจสอบนอมินี โดยเฉพาะคนไทยที่ถือหุ้นในนิติบุคคลบริษัทห้างร้าน แทนคนต่างด้าว เพื่อทำธุรกิจในไทยโดยเลี่ยงทำตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวพ.ศ.2542 และสินค้านำเข้าที่ไม่ได้มาตรฐานในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ จากผลความร่วมมือและการตรวจสอบเชิงรุก ส่งผลให้การปราบปรามนอมินี ตั้งแต่เดือน ก.ย.-ธ.ค.2567 สามารถจับกุมธุรกิจนอมินีได้แล้ว 783 คดี มูลค่าความเสียหาย 11,783 ล้านบาท ส่วนเดือน ม.ค. 2568 จับกุมคดีเพิ่มได้อีก 37 คดี ความเสียหาย 710 ล้านบาท รวมทั้งหมด 820 คดี ความเสียหาย 12,495 ล้านบาท
ส่วนใหญ่เป็นนอมินีในธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง ในพื้นที่กรุงเทพฯ ภูเก็ต ประจวบคีรีขันธ์ และธุรกิจอื่น ๆ เช่น ตลาดออนไลน์ วัสดุก่อสร้าง สำนักงานบัญชี ในพื้นที่กรุงเทพฯ ระยอง รวมถึงธุรกิจขนส่งสินค้าทางบก การค้าอสังหาริมทรัพย์และเกี่ยวเนื่อง โดยมีทั้งต่างด้าวจากประเทศในยุโรป และเอเชีย ส่วนการจัดการปัญหาบัญชีม้านิติบุคคล ล่าสุดศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (ศูนย์ AOC) สายด่วน 1441 ได้ส่งรายชื่อบุคคลรหัส HR-03 (บัญชีเข้าข่ายบัญชีม้า) ตั้งแต่เดือน ม.ค.2568 รวม 204,000 ราย
ซึ่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ตรวจสอบในเบื้องต้น พบว่ารายชื่อทั้งหมด มีทั้งคนไทยและคนต่างชาติ เกี่ยวข้องกับนิติบุคคลในไทยรวม 1,159 ราย ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเป็นนิติบุคคลบัญชีม้าหรือธุรกิจสีเทาในไทยทั้งหมด โดยได้ส่งเรื่องต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและมีอำนาจตามกฎหมาย ทั้งตำรวจสอบสวนกลาง (ซีไอบี) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อดำเนินการต่อแล้ว
“รัฐบาลโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมเดินหน้าบูรณาการทำงานเชิงรุก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยจะเอกซเรย์ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อกวาดล้างนอมินี และสินค้านำเข้าไม่ได้มาตรฐาน เพื่อแก้ไขปัญหาขจัดปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมายให้หมดสิ้น” นางสาวศศิกานต์ ระบุ