ผักกาดหอม
ดีครับ…
เอา MOU 44 เข้าไปถกในสภาฯ
แล้วยกเลิกเสีย
เว้นเสียแต่ว่ารัฐบาลสามารถชี้แจงได้ว่า ไม่มีความเสี่ยงใดๆ ที่ไทยจะเสียดินแดน คือ เกาะกูด ให้กัมพูชา
รวมถึงการสูญเสียทรัพยากรในทะเล แบบเสียค่าโง่ให้กัมพูชา
หรือคนไทยต้องสูญเสียประโยชน์เพราะนักการเมือง ๒ ประเทศฮั้วกัน
ถ้ารัฐบาลสามารถหักล้างข้อวิตกกังวลนี้ได้อย่างหมดจด ก็เดินหน้าหอบ MOU 44 ไปเจรจากับกัมพูชาต่อให้บรรลุผลเพื่อประชาชน
แต่หากทำไม่ได้แล้วเดินหน้าต่อ ก็อย่าเที่ยวไล่ฟ้องประชาชน หากเขาตั้งข้อสงสัยว่ารัฐบาลกำลังขายชาติ
อยากให้รัฐบาลอ่านบทความที่เขียนโดย ดร.ประจิตต์ โรจนพฤกษ์ ที่คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา เผยแพร่เมื่อ ปี ๒๕๕๔
และปัจจุบันมีการนำมาเผยแพร่ต่อ ในหลากหลายช่องทาง
ฉะนั้นขอนำมาซอยย่อยเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นโดยเฉพาะ ประเด็น “เกาะกูด”
เกาะกูด เป็นเงื่อนไขสำคัญมากที่รัฐบาลต้องพิจารณาอย่างละเอียด เพราะกรรมสิทธิ์ในเกาะกูดเป็นปัจจัยสำคัญในการแบ่งเขตทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา
ในขณะที่ไทยยืนยันเกาะกูดเป็นของไทย ตามหลักฐาน หนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับฝรั่งเศส ลงวันที่ ๒๓ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๕ (ค.ศ. ๑๙๐๗) ข้อ ๒ ระบุว่า “รัฐบาลฝรั่งเศสยอมคืนดินแดนเมืองด่านซ้ายและเมืองตราดกับเกาะทั้งหลายซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงห์ลงไปจนถึงเกาะกูดนั้นให้แก่กรุงสยาม”
จริงหรือไม่ที่กัมพูชาไม่เคย โต้แย้งกรรมสิทธิ์ดังกล่าวแต่อย่างใด?
มีกรณีหนังสือพิมพ์รัศมีกัมพูชา ฉบับวันที่ ๒๙-๓๐ มกราคม ๒๕๓๙ ได้ตีพิมพ์บทความว่า เกาะกูดเคยเป็นของกัมพูชา และไทยได้เข้ายึดและวางกำลังกองทัพเรือเหนือเกาะกูดในสมัยเขมรแดง
แม้เชื่อกันว่าทางการกัมพูชาไม่เคยโต้แย้งกรรมสิทธิ์เหนือเกาะกูดของไทย แต่กัมพูชากลับถือเอาเส้นแสดงจุดเล็งจากยอดสูงสุดของเกาะกูด มายังหลักเขตทางบกที่ ๗๓ เป็นเส้นไหล่ทวีปและเส้นทะเลอาณาเขตของตน
และยังขยายเส้นไหล่ทวีปจากยอดสูงสุดของเกาะกูด ผ่าดินแดนบนบกของเกาะกูด เลยไปประมาณกึ่งกลางฝั่งตรงข้ามของอ่าวไทย
นี่คือสิ่งที่ไทยและกัมพูชารู้มาตลอด
นอกจากนี้ ในประกาศกฤษฎีกากัมพูชานี้ยังได้อ้างว่ามีการปักปันเขตไหล่ทวีป แต่ไม่ระบุว่ามีการปักปันกับใคร เมื่อใด
เท่ากับเป็นการกล่าวเท็จโดยสิ้นเชิง
ประกาศกฤษฎีกากัมพูชาซึ่งกำหนดทะเลอาณาเขตกัมพูชา ได้ใช้เส้นเดียวกับประกาศเขตไหล่ทวีปกัมพูชาจาก หลักเขต ๗๓ ไปสู่ฝั่งเกาะกูด เท่ากับว่าแบ่งเขตทางทะเลของเกาะกูดไปประมาณครึ่งหนึ่ง
นี่คือการอ้างสิทธิ์ใช่หรือไม่?
ฉะนั้นรัฐบาลต้องศึกษาข้อมูลให้ตกผลึกเสียก่อน แล้วค่อยยืนยันว่า กัมพูชาไม่เคยอ้างกรรมสิทธิ์ในเกาะกูด
แน่นอนครับการประกาศเขตไหล่ทวีปฝ่ายเดียวไม่มีทางที่กฎหมายจะผูกพันประเทศอื่น อย่างที่กัมพูชาทำอยู่
หลักกฎหมายระหว่างประเทศที่บัญญัติไว้ในข้อ ๒ ของอนุสัญญาฯ ค.ศ. ๑๙๕๘ เกี่ยวกับไหล่ทวีป และข้อ ๗๗ ของอนุสัญญาฯ ค.ศ. ๑๙๘๒ ระบุว่า การประกาศเขตไหล่ทวีปฝ่ายเดียวไม่มีผลทางกฎหมายผูกพันประเทศอื่น
“เว้นแต่จะได้มีความตกลงระหว่างกัน”
ดังนั้น เส้นเขตทางทะเล ทั้งทะเลอาณาเขตและเขตไหล่ทวีปที่กัมพูชาประกาศกฤษฎีกาฝ่ายเดียวแม้จะอ้างว่าถูกต้องตามกฎหมายเพียงใด ก็ไม่ผูกพันไทย
แต่ปัญหามันเกิดทันทีเมื่อมี MOU 44
การทำบันทึกความเข้าใจฯ ในปี ๒๕๔๔ เท่ากับเป็นการยอมรับประกาศเขตทางทะเลของกัมพูชาและก่อให้เกิดพื้นที่ทับซ้อน
อารัมภบทของบันทึกความเข้าใจฯ นี้ วรรค ๓ กล่าวว่า
“ยอมรับว่า (Recognizing) จากผลของการอ้างสิทธิของประเทศทั้งสองในเรื่องทะเลอาณาเขตไหล่ทวีป และเขตเศรษฐกิจจำเพาะในอ่าวไทยทำให้เกิดพื้นที่ที่มีการอ้างสิทธิทับซ้อน (พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน)”
จากที่ไม่ควรมีพื้นที่ทับซ้อน กลับไปยอมรับว่ามีพื้นที่ทับซ้อน
นี่คือปฐมบทของหายนะ
ตาม MOU 44 ฉบับนี้ ข้อ ๑ ที่ตกลงทำความตกลงชั่วคราวเกี่ยวกับ “พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน” โดยเฉพาะในการจัดทำความตกลงต่อไปเพื่อพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียมและแบ่งเขตทางทะเลในข้อ ๒ นั้นย่อมเป็นการยืนยันการยอมรับเขตอ้างสิทธิทับซ้อนระหว่างกัน ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ ๒๖,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร
เพราะผลประโยชน์บังตา ความเสียหายจึงเกิดขึ้น
มีบทความชื่อ Border Conflicts between Cambodia and Vietnam โดย Ramses Amer ได้แสดงแผนที่เขตทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชาไว้ พบว่าพื้นที่ทางทะเลตามบันทึกความเข้าใจฯ ส่วนบนที่ไทยและกัมพูชาตกลงจะแบ่งเขตนั้นเป็นของไทยทั้งหมด!
ไม่มีส่วนไหนทับซ้อนกับกัมพูชาเลย
แต่รัฐบาลทักษิณเมื่อปี ๒๕๔๔ กลับไปยอมรับ เส้นของกัมพูชาที่ลากผ่าเกาะกูด
แม้ไม่ใช่การยอมรับว่าเกาะกูดเป็นของไทยครึ่งกัมพูชาครึ่ง แต่การยอมรับ “เส้นเถื่อน” ของกัมพูชามาแนบไว้ใน MOU 44 ไม่ต่างจากเสียค่าโง่ให้กัมพูชาไปแล้วครึ่งหนึ่ง
หากดำเนินการทำความตกลงตามบันทึกความเข้าใจฯ ต่อไป จะทำให้พื้นที่ทับซ้อนในทะเลส่วนล่างซึ่งตกลงจะแสวงประโยชน์ร่วมกันนั้น เมื่อความตกลงมีผลบังคับก็จะเป็นผลให้พื้นที่ในท้องทะเลเหนือส่วนล่างนี้เป็นเขตเศรษฐกิจจำเพาะ ทับซ้อนไปด้วยทันที
จะเป็นปัญหาในการแบ่งพื้นที่ทับซ้อนในทะเลส่วนล่างต่อไป
ฉะนั้นหากกัมพูชาไม่ยอมปรับเส้นเขตทางทะเลดังกล่าวตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว ฝ่ายไทยจะต้องรีบบอกเลิก MOU 44 โดยเร็ว
มิฉะนั้นแล้ว หากเป็นคดีขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลระหว่างประเทศว่าด้วยกฎหมายทะเล ประเทศไทยย่อมเสียเปรียบในรูปคดีแน่
เพราะศาลก็จะบังคับให้เป็นไปตามบันทึกความเข้าใจฯ ตามที่ศาลเห็นสมควร
ครับ…รัฐบาลควรกลับไปคิดให้รอบคอบก่อนที่จะตั้ง คณะกรรมการร่วมทางเทคนิค (Joint Technical Committee: JTC) ถือ MOU 44 ไปคุยกับกัมพูชา
คิดในแง่ดี กัมพูชาไม่ได้ต้องการเกาะกูด แค่ต้องการต่อรองผลประโยชน์ในพื้นที่อ้างว่าทับซ้อนกับไทยให้ได้มากที่สุด ทั้งที่ไม่ควรได้ตั้งแต่แรก
หากเลวร้ายสุดก็เป็นไปตาม กฤษฎีกากัมพูชา ขอเกาะกูดไปครึ่งหนึ่ง
แต่ไม่ว่าจะกรณีไหน หากยังยึด MOU 44 เป็นคัมภีร์ ก็เท่ากับเสียค่าโง่ให้กัมพูชาไปแล้ว