‘เทวดา’ จะตกตึก – ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

ปกติการป้องกันตัวเป็นเรื่องที่สิ่งมีชีวิตทุกชนิดไม่ว่าพืชหรือสัตว์ต้องทำ เพื่อให้ตัวเองปลอดภัยจากภัยคุกคามที่มาเยือน

น้อยมากที่สิ่งมีชีวิตไม่มี หรือไม่รู้วิธีป้องกันตัวเองเลย เพราะไม่มีศัตรูตามธรรมชาติ

แต่สุดท้ายสิ่งมีชีวิตนั้นมีความเสี่ยงสูงที่จะสูญพันธุ์ หรือสูญพันธุ์ไปในที่สุด

มนุษย์คือสัตว์ที่เอาตัวรอดเก่งที่สุด

สามารถปรับตัวเพื่อความอยู่รอดได้ดีที่สุด

แต่ก็แปลกใจที่ คนบางคน ไม่ปรับตัว ไม่ป้องกันตัวเองจากสิ่งที่กำลังคุกคามในการดำเนินชีวิต ทั้งๆ ที่มีโอกาสมากมายที่จะป้องกันตัว

ใช่แล้วครับ “นักโทษชายทักษิณ” มีโอกาสถมเถ ที่จะคลายความสงสัยของผู้คนว่า ยังนอนอยู่ชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจหรือไม่

ป่วยหนักจริงหรือเปล่า

กลับเลือกที่จะสร้างความคลุมเครือ ให้ผู้คนในสังคมเดากันไปเอง

หรือคิดว่าทุกอย่างคือเรื่องส่วนตัว รู้กันเฉพาะในครอบครัว ไม่จำเป็นให้สังคมได้รับรู้ หรือรับรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด

หรือไม่ก็คือการเหิมเกริม คิดว่าจะทำอะไรก็ได้ เพราะมีรัฐบาลอยู่ในอุ้งมือ

คนที่ผ่านการก่อวิกฤตทางการเมืองมาแล้ว และเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำของตัวเอง จนต้องหลบหนีไปต่างประเทศอย่างยาวนานถึง ๑๗ ปี ยังอยากจะเดินย่ำรอยเดิมอีกหรือ

อย่าคิดว่าในรัฐบาลมีพรรคการเมืองที่เคยอยู่ต่างขั้ว คือการสมานฉันท์ จึงไม่จำเป็นต้องรับรู้ว่าสิ่งที่รัฐบาลทำ ว่าเรื่องชั่วดีหรือไม่อย่างไร

หรือแม้กระทั่งการได้รับการอภัยโทษ อย่าคิดว่าประชาชนที่เกลียดชังนักการเมืองคอร์รัปชันจะยอมรับโดยไม่รู้สึกอะไร

ฉะนั้นให้ระวังไว้ สิ่งที่ บริวาร กำลังทำให้ “นักโทษชายทักษิณ” อยู่นี้ เขาเรียกว่า “เหิมเกริม”

การใช้ทุกกฎหมาย ทุกระเบียบที่มี ฟอก “นักโทษชายทักษิณ” แล้วอ้างว่า ทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และหลักสากล ให้ระวังไว้ว่า ไม่อาจลบล้างเรื่องความชอบธรรมได้

ฟังหลายคนหลายภาคส่วนในเครือข่ายของรัฐ และรัฐบาลที่พูดถึง “นักโทษชายทักษิณ” ต้องยอมรับว่าพูดถูกต้องแทบจะทั้งหมด

เช่นโรงพยาบาลตำรวจ ที่ให้ข่าวโดย “พ.ต.อ.หญิงศิริกุล ศรีสง่า” โฆษกโรงพยาบาลตำรวจ ถึงการขอขึ้นไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจ

“….พื้นที่การควบคุมผู้ต้องขัง ตามคำสั่งศาลเป็นพื้นที่รักษาความปลอดภัย ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบของกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ราชทัณฑ์ พ.ศ.๒๕๖๐ รวมถึงโรงพยาบาลตำรวจมีหน้าที่รักษาคนไข้เพียงอย่างเดียว

อีกทั้ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๗ ข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคล เป็นความลับส่วนบุคคล ผู้ใดจะนำไปเปิดเผยในประการที่น่าจะทำให้บุคคลนั้นเสียหายไม่ได้

เว้นแต่การเปิดเผยนั้นเป็นไปตามความประสงค์ของบุคคลนั้นโดยตรง

หรือมีกฎหมายเฉพาะบัญญัติให้ต้องเปิดเผย แต่ไม่ว่าในกรณีใดๆ ผู้ใดจะอาศัยอำนาจหรือสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการหรือกฎหมายอื่นเพื่อขอเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคลที่ไม่ใช่ของตนไม่ได้

ทั้งนี้ โรงพยาบาลตำรวจขอความร่วมมือสื่อมวลชนในการเข้ามาทำข่าวในพื้นที่ ให้ระมัดระวังการนำเสนอภาพข่าวหรือภาพ เพื่อไม่ให้ไปกระทบสิทธิผู้ป่วยและประชาชนที่มาใช้บริการ…”

ถูกหมดทุกถ้อยคำครับ ไม่มีตรงไหนผิดเลย!

ขั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจ ใช่ว่าจะขึ้นไปได้ทุกคน

ยิ่งเป็นพื้นที่ควบคุมผู้ต้องขังด้วยแล้ว โอกาสจะกดลิฟต์ขึ้นไปเยี่ยมผู้ป่วยแทบเป็นไปไม่ได้เลย หากไม่ใช่ญาติ หรือคนที่นักโทษอยากจะพบ

เรื่องข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคลก็ถูกต้องครับ โรงพยาบาลมีหน้าที่ปกป้องผู้ป่วย จะเอาข้อมูลผู้ป่วยไปเผยแพร่ซี้ซั้ว โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ป่วยไม่ได้

ก็…ไม่มีข้อสงสัยใดๆ ครับ เรื่องนี้เข้าใจได้เพราะเป็นหลักสากล

แต่ที่เข้าใจไม่ได้คือ ทำไมผู้ป่วยอย่าง “นักโทษชายทักษิณ” ถึงไม่ปกป้องตัวเอง จากข้อสงสัยของผู้คนในสังคม

ปล่อยให้เกิดความคลางแคลงใจ โรงพยาบาลตำรวจก็พูดได้ไม่เต็มปาก กรมราชทัณฑ์เองก็หันรีหันขวาง เพราะสังคมเชื่อไปแล้วว่า นักโทษชั้น ๑๔ คือนักโทษเทวดา ได้รับการปกป้องจากหน่วยงานของรัฐ และรัฐบาล

วันนี้หาก “นักโทษชายทักษิณ” หรือตระกูลชินวัตร ขออนุญาตทางโรงพยาบาล เชิญสื่อขึ้นไปเยี่ยม “นักโทษชายทักษิณ” ที่ชั้น ๑๔ ความแคลงใจมันก็จบ

แน่นอนครับ ภาพ “นักโทษชายทักษิณ” จะถูกเผยแพร่ และจะเป็นการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนโดยทั่วไปว่า ป่วยหนักจริง

ต้องนอนโรงพยาบาลตำรวจเพื่อรักษาตัวต่อไปจริง

ขอย้ำนะครับ หากมีการเชิญสื่อไปเยี่ยมจริง ภาพที่ออกมา “นักโทษชายทักษิณ” คือผู้ป่วยหนัก ที่ไม่สามารถส่งกลับเรือนจำได้

เพราะมีโอกาสเป็นตายเท่ากัน

เนื่องจากแพทย์และเครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์ ในสถานพยาบาลของกรมราชทัณฑ์ไม่อาจรับมือได้

ฉะนั้น “นักโทษชายทักษิณ” จึงไม่ใช่ผู้ป่วยอยู่ระหว่างการพักฟื้น!

เพราะขั้นตอนนี้ถือว่าเลยวิกฤตไปแล้ว

เมื่อ “นักโทษชายทักษิณ” เลือกที่จะไม่ปกป้องตัวเอง ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกตั้งคำถามว่า ป่วยจริงหรือไม่ ยังอยู่ห้องวีไอพี ชั้น ๑๔ หรือเปล่า

รวมไปถึงความไม่ไว้วางใจโรงพยาบาลตำรวจ กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ไปจนถึงรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคแกนนำ

ทั้งหมดถูกสงสัยว่ารวมหัวกันช่วยไม่ให้ “นักโทษชายทักษิณ” ติดคุกแม้วันเดียวหรือไม่

ไม่มีใครทราบได้ครับว่า กรณี “นักโทษชายทักษิณ” จะพัฒนาไปถึงไหน

จะซ้ำรอยสมัยยิ่งลักษณ์ลักหลับกฎหมายนิรโทษฯ โกงสุดซอยหรือไม่

จะเป็นจุดเริ่มต้นนำพาประเทศกลับเข้าสู่ความขัดแย้งรอบใหม่หรือไม่

แต่ที่เห็นในวันนี้คือ การฟื้นตัวของระบอบทักษิณ

ความเหิมเกริมไม่สนใจความรู้สึกของประชาชน

แม้จะอ้างว่าการดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามตัวบทกฎหมาย และมิได้ทำเพื่อ “นักโทษชายทักษิณ” คนเดียวเท่านั้น

อย่าลืมนะครับ “ความชอบธรรม” มิได้ยึดหลักนิติธรรมเพียงอย่างเดียว

แต่ยังยึด คุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม และ ธรรมาภิบาล

หาก “นักโทษชายทักษิณ” ไม่ติดคุกเลยแม้วันเดียว จะเป็นการขาดความชอบธรรมอย่างรุนแรง

และการขาดความชอบธรรมนี่เองจะตราหน้า “นักโทษชายทักษิณ” ไปจนตาย

ไม่มีทางที่ “คนโกง” จะได้รับการอภัย

Written By
More from pp
พิการกาย..มิได้พิการใจ-สันต์ สะตอแมน
ผสมโรง สันต์ สะตอแมน “ถ้าชนชั้นสูง หรือผู้มีอำนาจ ยังดื้อดึง แข็งกร้าว.. ไม่ประนีประนอม หรือออมชอมกับประชาชน โอกาสแตกหักค่อนข้างสูง เพราะสังคมถูกบีบให้มีทางเลือกน้อย จากการขีดเส้นของผู้มีอำนาจเอง...
Read More
0 replies on “‘เทวดา’ จะตกตึก – ผักกาดหอม”