เปลว สีเงิน
คุณ “@จักรพงษ์-ฟ8ธ”
และคณะพรรคที่คอมเมนท์รบเร้าผมไม่เว้นแต่ละวันว่า
#รออ่านบทความเรื่องคำพิพากษาศาลฎีกากับพฤติกรรมของพรรคภูมิใจไทยเรื่องที่ดินการรถไฟ นั้น
ผมฉลองศรัทธาให้ ๒ วันซ้อนไปแล้ว คงนอนตาหลับแทน “ตากลับ” นะครับ!
ฉะนั้น วันนี้ ผมจะชวนไปออกรอบที่ “สนามกอล์ฟอัลไพน์” ย่านคลองหลวง ปทุมธานี กันซักรอบ-สองรอบ โอเค.นะ
ก่อนไป ทำความรู้จักกับสนามนี้ไว้หน่อยก็ดี
“สนามกอล์ฟอัลไพน์” ร่วมพันไร่ เดิมเป็นที่ดินของ “คุณยายเนื่อม ชำนาญศักดา” ท่านถวายให้วัดเป็นที่ “ธรณีสงฆ์”
แต่นายเสนาะ เทียนทอง สมัยเป็นรมช.มหาดไทย และนายยงยุทธ์ วิชัยดิษฐ สมัยเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย
ท่าน “อ่านกฎหมายรู้-ดูกฎหมายเป็น” จึงใช้อำนาจหน้าที่แปลงธรณีสงฆ์เป็น “ธรณีถูกสูบ” กลายเป็น “สนามกอล์ฟอัลไพน์” ของนายเสนาะ เทียนทอง
จากนั้น นายเสนาะ “ขายต่อ” ให้นายทักษิณ ชินวัตร
“บริษัทอัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด” มีทุนจดทะเบียน ๗๔๗ ล้านบาท ชื่อผู้ถือหุ้น ก็ประมาณนี้
-น.ส.แพทองธาร ๓๐%
-นายพานทองแท้ ๓๐%
-น.ส.พินทองทา ๓๐%
-คุณหญิงพจมาน ๑๐%
น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์, น.ส.แพทองธาร ชินวัตร, น.ส.กาญจนาภา หงษ์เหิน เลขาฯ ส่วนตัวคุณหญิงพจมาน และ นายอุดมศักดิ์ โง้วศิริ เป็นกรรมการ
นี่เป็นข้อมูลที่ผมนำมาจาก “ฐานเศรษฐกิจ” ปี ๒๕๖๓ ตอนนี้คงเปลี่ยนแปลงไปบ้างทั้งกรรมการและผู้ถือหุ้นบางราย เช่น นส.แพทองธาร
เพราะนส.แพทองธารไปถือหุ้นประเทศตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ซึ่งกฎหมายห้ามถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในบริษัท
ที่ดินคุณยายเนื่อมจะว่าเฮี้ยนก็เฮี้ยน เพราะทำให้นายยงยุทธ “ติดคุก ๒ ปี” ส่วนนายเสนาะ “รอด” นัยว่าคดี “ขาดอายุความ” ซะก่อน
คำพิพากษา “ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง” ตอนหนึ่งระบุว่า……
“พินัยกรรมของนางเนื่อม ระบุชัดเจนว่า ยกที่ดินให้กับวัดเท่านั้น และให้มูลนิธิมหามกุฎฯ ร่วมกับวัดไปช่วยกันจัดทำประโยชน์ในการครอบครองที่ดิน
โดยที่ไม่อาจขยายความไปถึงการขายที่ดินได้
จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า นายยงยุทธได้ใช้หลักความมั่นคงแห่งสิทธิความสุจริต ความเสียหายต่อสาธารณะอย่างสุจริตใจ
แต่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัททั้ง ๒ แห่ง (บริษัท อัลไพน์เรียลเอสเตท จำกัด และบริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด)
และผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในเวลาต่อมาให้ได้รับประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ให้ถูกเพิกถอนการถือครองที่ดิน สิทธิและนิติกรรมตามคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดิน
ถือเป็นการแสวงหาผลประโยชน์อันไม่ควรได้ให้แก่ผู้อื่น เกิดความเสียหายกับวัดที่ถือเป็นทายาทตามพินัยกรรม
เป็นการทำลายศรัทธาผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างนางเนื่อม ที่ระบุชัดในพินัยกรรมว่า
ขอให้นำทรัพย์สินที่ได้หลังจากการมรณกรรมของตน นำไปทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและเป็นจตุปัจจัยถวายแด่พระภิกษุสงฆ์
คำสั่งของนายยงยุทธ จึงเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยไม่ชอบ มีความผิดตามฟ้อง พิพากษาจำคุก ๒ ปี”
คดีนี้ ผมว่าน่าเป็น “คดีศึกษา” ของข้าราชการและนักการเมือง โดยเฉพาะคนเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย อธิบดีกรมที่ดิน และปลัดมหาดไทย
“เฉออกนอกทาง” นิดเดียว นักการเมืองไม่คุก แต่คนปฎิบัติ คือข้าราชการ “คุก” คนเดียว ดูนายยงยุทธไว้เป็นบทเตือนใจ
คดีสนามกอล์ฟอัลไพน์นี้ ทั้ง ๓ ศาล ยืนตรงกัน
นายยงยุทธ “ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มบริษัทอัลไพน์ และ พ.ต.ท.ทักษิณ”
“เข้าคุก ๒ ปี”!
แต่ตอนนี้ “ชีวิตสดชื่น” ออกมาตีกอล์ฟ-จับกบอวบๆ เสวยสุขให้โลกอิจฉาไปแล้ว
นายยงยุทธ์ยื่นอุทธรณ์ คำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์ฟังแล้ว “สะใจในจริง-ใสสว่างในใจ” ยิ่งนัก ไม่เชื่อก็อ่านดู
คือนายยงยุทธอุทธรณ์ว่า…..
“การกระทำที่เขาทำไป ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายเสนาะ เทียนทอง รมว.มหาดไทย (ขณะนั้น) และกลุ่มบริษัทอัลไพน์
จึงขอให้ศาลลงโทษสถานเบา
ขณะที่ฝ่ายโจทก์ (ป.ป.ช.) ไม่ได้นำสืบในประเด็นนี้
แต่ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า….
แม้ว่าฝ่ายโจทก์จะไม่ได้นำสืบในประเด็นนี้ แต่เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงพบว่า
เดิมสมัยจำเลยเป็น “อธิบดีกรมที่ดิน” ที่ดินมรดกดังกล่าวเป็นของกลุ่มบริษัทอัลไพน์ ที่มีนายเสนาะเป็นเจ้าของโดยพฤตินัย
และเมื่อปี ๒๕๔๒ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (ยศขณะนั้น) ซื้อหุ้นกลุ่มบริษัทอัลไพน์ต่อจากนายเสนาะ
โดย พ.ต.ท.ทักษิณ เคยให้สัมภาษณ์กับนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นคลิปเสียงยอมรับว่า “ได้ซื้อหุ้นกลุ่มบริษัทอัลไพน์ต่อจากนายเสนาะจริง”
ขณะที่จำเลยช่วงเป็นอธิบดีกรมที่ดิน พร้อมทำตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา
แต่ต่อมาภายหลัง “รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงมหาดไทย” กลับไม่ปฏิบัติตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา
เชื่อได้ว่า “มีมูลเหตุจูงใจ” ทำให้การปฏิบัติหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป
เมื่อพิเคราะห์อีกว่า ช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ซื้อหุ้นกลุ่มบริษัทอัลไพน์ต่อจากนายเสนาะ
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่ได้เป็นนายกฯ แต่เมื่อปี ๒๕๔๕ ในช่วงที่จำเลยรักษาราชการแทนปลัดกระทรวงมหาดไทย และไม่ปฏิบัติตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกานั้น “พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ” แล้ว
“จึงน่าเชื่อว่า “การกระทำของจำเลยเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ต่างตอบแทน” หวังให้ได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งระดับสูงในภายหลัง”
ข้อเท็จจริงปรากฏอีกว่า ภายหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ จำเลยได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “ปลัดกระทรวงมหาดไทย”
และหลังเกษียณราชการ ได้ “ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” ในช่วง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ ด้วย
จึงเชื่อได้ว่า “จำเลยปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มบริษัทอัลไพน์ และ พ.ต.ท.ทักษิณ” อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ทั้งนี้ ฝ่ายโจทก์ (ป.ป.ช.)ขอให้ลงโทษจำเลยสถานหนัก เนื่องจากหากมีผู้เสียหายฟ้องร้องเอาผิดกับกรมที่ดิน จะถูกเรียกค่าเสียหายหลายพันล้านบาท
ส่วนจำเลยขอให้ลงโทษสถานเบานั้น ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า
จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีผู้ฟ้องเรียกค่าเสียหายเอาผิดกับกรมที่ดิน ดังนั้น จึงยังไม่แน่ชัดว่าจะมีความเสียหายตามที่โจทก์ระบุ
ขณะที่โทษจำคุกตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษามาเหมาะสมแล้ว “ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง” อีก
สว่างกระจ่างแจ้งตามที่ผมว่ามั้ย กระนั้น นายยงยุทธยื่นฎีกาต่อ
เมื่อ ๑๗ ก.พ.๖๓ “ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง” ศาลอ่านคำสั่งศาลฎีกา
“ไม่อนุญาตให้จำเลย (นายยงยุทธ) ฎีกาในคดีนี้ ตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนให้จำคุกเป็นเวลา ๒ ปี”
ท่านใดอยากอ่านคำพิพากษาละเอียด คลิกไปอ่านได้ที่เว็บ “isranews” ผมก็เป็นแมงดาเกาะหลังเขามากินนี่แหละ!
สรุป ตามคำพิพากษาศาล “ที่ดินคุณยายเนื่อม ทั้งที่เป็นสนามกอล์ฟอัลไพน์ที่ครอบครัวทักษิณครอบครอง และที่เป็นบ้านจัดสรร” อัน “หมอบุญ” ผู้ล่องหนมีส่วนร่วม
ต้องคืนกลับเป็นที่ “ธรณีสงฆ์” ทั้งหมด!
ในด้านสิทธิ “กรมที่ดิน” ต้องยกเลิกเอกสารสิทธิในที่ดินทั้งสนามกอล์ฟอัลไพน์ทั้งหมู่บ้านจัดสรร คืนวัดสถานเดียว
ด้านการใช้พื้นที่ ก็ต้องไปตกลงกับ “มูลนิธิมหามกุฎฯ” ว่าจะให้เช่าอยู่-เช่าใช้อย่างไร ด้วยค่าตอบแทนขนาดไหน สุดแต่ตกลงกัน
มันเป็นปัญหาโลกแตกไปแล้วในส่วนที่ทำเป็นที่ดินจัดสรร คนซื้อเขาบริสุทธิ์ คนขายกับคนออกโฉนดนั่นแหละไม่สุจริต
ชาวบ้านเขาเดือดร้อนมาก ฟ้องกรมที่ดิน ก็ต้องชดใช้ แต่จะเอาเงินที่ไหน ที่นายเสนาะ นายทักษิณ นายยงยุทธงั้นหรือ?
มันเหมือนและต่างกับที่ดินเขากระโดงตรงนี้ เหมือนก็ตรง “กรมที่ดิน” ออกเอกสารสิทธิให้ชาวบ้านทั้งที่เขากระโดงและที่สนามกอล์ฟอันไพน์
ต่างก็ตรง อัลไพน์เป็นที่ธรณีสงฆ์ ข้าราชการปฎิบัติหน้าที่ทุจริต เอื้อประโยชน์ผู้อื่น สูบเอาที่ธรณีสงฆ์ไปขายกิน อันเป็นผลประโยชน์ส่วนตัว
ส่วนเขากระโดง เป็นที่การรถไฟปล่อยร้างเป็นป่า-เป็นดงไกลปืนเที่ยง ชาวบ้านเข้าไปอยู่อาศัยจนเกิดเป็นชุมชน มีทั้งวัด ทั้งบ้าน ทั้งโรงเรียน ทั้งสาธารณสถาน
เพ่งเล็งที่ตระกูลชิดชอบ ๒๐๐ กว่าไร่ เทียบกันชัดๆ
๗๔๗ ไร่ ที่ธรณีสงฆ์ ตระกูลชินวัตร เอาไปทำสนามกอล์ฟ อย่าว่าแต่ชาวบ้านเลย หมาก็ยังเข้าไม่ได้ ได้เฉพาะคนที่อนุญาต
เทียบกับ ๒๐๐ ไร่ ที่เขากระโดงทิ้งร้าง ตระกูลชิดชอบพัฒนาเป็นสนามฟุตบอล สนามรถแข่ง เปลี่ยนบุรีรัมย์ที่ตำน้ำกิน เป็นบุรีรัมย์เลี่ยมทอง
จากไม่มีชื่อในแผนที่ท่องเที่ยวโลก ตอนนี้ “บุรีรัมย์” มีชื่อที่ชาวโลกต้อง “ปักหมุด” เพื่อบินเข้ามา
พูดถึงปัญหา “มีปัญหา” ในที่ดิน ก็ว่ากันไปตามกฎหมาย
แต่ใน “ที่ดินมีปัญหา” นั้น ชั่งน้ำหนักกันดูซิ….
ที่ “อัลไพน์ ๗๐๐ กว่าไร่” หรือที่ “สนามฟุตบอล-สนามรถแข่ง ๒๐๐ กว่าไร่”
ระหว่างตระกูลชินวัตร กับตระกูลชิดชอบ ใครใช้ที่ดินนั้น “สร้างประโยชน์” ให้เกิดกับสังคมคน-สังคมชาติ ในความเป็นส่วนรวมมากกว่ากัน?
สนามกอล์ฟ หมายังเข้าไม่ได้ หรือสนามบอล-สนามรถแข่ง ที่ทั้งคน ทั้งหมา จากทั่วโลกมาได้-เข้าได้ แถมสร้างหน้า-สร้างตา-สร้างรายได้เข้าประเทศเป็นหมื่นล้านต่อปี
เอาที่ธรณีสงฆ์ไปทำสนามกอล์ฟประดับตระกูล ไปถามคนทั้งโลกซิ เขายกย่อง หรือเขาถุย ก่อนถลกขากางเกงเยี่ยวรดซ้ำ?
กรณี “เขากระโดง” กับ “สนามกอล์ฟอัลไพน์” นี้
“ผิด-ถูก” เรื่องของกติกาสังคม ที่เรียกกฎหมาย
เหนือผิด-เหนือถูก “เรื่องของจิตสำนึก” ที่เรียกมนุษย์
กรณีไหนจะใช้ “กฎหมาย” กรณีไหนจะใช้ “จิตใต้สำนึก”
(กู)ไม่รู้โว้ย!
เปลว สีเงิน
๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๗