ยุบพรรค-คุก ๑๐ ปี เชียวนะ #ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

แหกขี้ตาตื่นแต่เช้าเลยครับ…

วานนี้ (๑๐ ตุลาคม) นั่งดูเข็มนาฬิกาอย่างลุ้นระทึก

เมื่อไหร่จะ ๐๗.๐๐ น.

รอฟังข่าวสำคัญจาก “ไพบูลย์ นิติตะวัน” เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่ฉายหนังตัวอย่างว่า แกนนำรัฐบาลพรรคหนึ่ง อาจจะล่มสลายได้

“ผมยืนยันว่าเป็นเรื่องใหญ่ และอาจจะพัฒนาไปสู่บทจบของพรรคแกนนำรัฐบาล”

ก็คิดว่าเปิดมาอย่างน้อยๆ ต้อง…แตกฮือ!

สุดท้าย เข็มขัดสั้นกันเป็นแถว คาดไม่ถึง! “ไพบูลย์” เล่นใหญ่ไปหน่อย จึงไม่คอยตรงปกนัก

นึกว่าพรรคพลังประชารัฐจะแสดงฝีมือในฐานะพรรคฝ่ายค้าน งัดหลักฐานเด็ดมากระทืบ ทักษิณ-เพื่อไทย ให้จมดินในบัดเดี๋ยวนั้น

แต่ไม่ใช่ครับ

ตัวละครเอกกลับเป็นอีกคน

จะบอกว่าไม่มีอะไรในกอไผ่ ก็คงไม่ได้ เพราะเนื้อเรื่องมันน่าขนลุก! ย้อนกลับไปก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล

“ไพบูลย์” บอกว่า “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” จะเดินทางไปยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญโปรดวินิจฉัยสั่งการให้นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกร้องที่ ๑ และพรรคเพื่อไทย ผู้ถูกร้องที่ ๒ เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพอันจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙ ในเวลา ๑๐.๓๐ น.

“ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” ชื่อนี้ถ้าใครไม่รู้จักถือว่าเชยมาก

เป็นคนที่พรรคส้ม และด้อมส้ม ต้องจำไปจนวันตาย

“ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” จะสร้างประวัติศาสตร์ทางการเมืองครั้งใหม่ได้หรือไม่ มาเข้าเรื่องกัน

เอกสารคำร้องที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยคำร้อง ๖๕ หน้า และเอกสารประกอบอีกจำนวน ๔๔๓ แผ่น

รวมคำร้องและเอกสารประกอบชุดละ ๕๐๘ แผ่น จำนวน ๑๐ ชุด รวมเอกสารทั้งสิ้น ๕,๐๘๐ แผ่น

อย่าตกใจจำนวนเอกสาร เพราะสาระสำคัญไม่ได้อยู่ตรงนั้น

คำร้องก็ไม่มีอะไรใหม่ เพราะปรากฏเป็นข่าวสารสู่สาธารณะมาอย่างต่อเนื่องยาวนานนับปี

ข้อเท็จจริงต่างหากเป็นเรื่องน่ากังวลสำหรับ “ทักษิณ-เพื่อไทย”

ก็คล้ายๆ กับคำร้อง ล้มล้างการปกครองที่ “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งพรรคก้าวไกลหยุดการกระทำ

นำไปสู่คำวินิจฉัยที่ว่า

“…การเสนอแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ และใช้เป็นนโยบายพรรคในการหาเสียงเลือกตั้งดังกล่าว มีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเหตุให้ชำรุด ทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง นำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด…”

ในคำร้องกรณี “ทักษิณ-เพื่อไทย” แบ่งพฤติการณ์ออกเป็น ๖ กรณี

กรณีที่ ๑ ผู้ถูกร้องที่ ๑ ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เหลือโทษจำคุกต่อไปอีก ๑ ปี โดยพบว่าผู้ถูกร้องที่ ๑ ใช้พรรคผู้ถูกร้องที่ ๒ เป็นเครื่องมือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน สั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่ ๑ ระหว่างต้องโทษจำคุกได้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อไม่ต้องรับโทษอยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว เป็นการฝ่าฝืนไม่น้อมรับโทษจำคุกในเรือนจำตามพระบรมราชโองการ การกระทำของผู้ถูกร้องที่ ๑ เป็นการกระทำที่ไม่บังควรอย่างยิ่ง ทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ส่งผลให้เกิดการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ในที่สุด

กรณีที่ ๒ ผู้ถูกร้องที่ ๑ มีพฤติกรรมฝักใฝ่คบหาร่วมคิดกับสมเด็จฯ ฮุน เซน ซึ่งเป็นผู้นำทางการเมืองประเทศกัมพูชา ซึ่งมีระบบการปกครองที่ฝ่ายการเมืองมีอำนาจเหนือสถาบันพระมหากษัตริย์ และผู้ถูกร้องที่ ๑ มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการ ผู้ถูกร้องที่ ๒ เป็นเครื่องมือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน สั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์กับสมเด็จฯ ฮุน เซน ให้ประเทศกัมพูชาละเมิดอธิปไตยทางทะเลของไทย โดยให้มีการเจรจาพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าเป็นเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (MOU 2544) เพื่อแบ่งผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและทรัพยากรใต้ทะเลในเขตอธิปไตยทางทะเลของไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา

กรณีที่ ๓ ผู้ถูกร้องที่ ๑ สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ ๒ ร่วมมือเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคประชาชนซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมือง (พรรคก้าวไกลเดิม) ที่ต้องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๓/๒๕๖๗ ว่ามีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และผู้ถูกร้องที่ ๑ มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการ ให้ผู้ถูกร้องที่ ๒ เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้ถูกร้องที่ ๑ และพวก

กรณีที่ ๔ ผู้ถูกร้องที่ ๑ มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการแทนผู้ถูกร้องที่ ๒ ในการเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือการเสนอบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๗ ที่บ้านพักส่วนตัวของผู้ถูกร้องที่ ๑ (บ้านจันทร์ส่องหล้า)

กรณีที่ ๕ ผู้ถูกร้องที่ ๑ มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการ ให้ผู้ถูกร้องที่ ๒ มีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล โดยผู้ถูกร้องที่ ๒ ยินยอมกระทำการตามที่ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการ

กรณีที่ ๖ ผู้ถูกร้องที่ ๑ มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการ ให้ผู้ถูกร้องที่ ๒ ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล ให้นำนโยบายของผู้ถูกร้องที่ ๑ ที่แสดงวิสัยทัศน์ไว้เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๗ ไปดำเนินการให้เป็นนโยบายคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภาในวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๗

จึงขอศาลรัฐธรรมนูญโปรดพิจารณาวินิจฉัยสั่งการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙ วรรคสอง ดังนี้

๑.ให้นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกร้องที่ ๑ เลิกกระทำการใช้พรรคผู้ถูกร้องที่ ๒ เป็นเครื่องมือกระทำการอันเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์

๒.ให้ผู้ถูกร้องที่ ๑ เลิกกระทำการเป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการการดำเนินงานของพรรคผู้ถูกร้องที่ ๒

๓.ให้ผู้ถูกร้องที่ ๑ เลิกใช้พรรคผู้ถูกร้องที่ ๒ เป็นเครื่องมือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน สั่งการรัฐบาลให้ดำเนินการตามความต้องการของผู้ถูกร้องที่ ๑

๔.ให้ผู้ถูกร้องที่ ๑ เลิกกระทำการใช้พรรคผู้ถูกร้องที่ ๒ เป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

๕.ให้พรรคเพื่อไทย ผู้ถูกร้องที่ ๒ เลิกยินยอมให้ผู้ถูกร้องที่ ๑ ใช้เป็นเครื่องมือกระทำการอันเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์

๖.ให้ผู้ถูกร้องที่ ๒ เลิกยินยอมให้ผู้ถูกร้องที่ ๑ ใช้เป็นเครื่องมือกระทำการเป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการการดำเนินงานของพรรคผู้ถูกร้องที่ ๒

๗.ให้ผู้ถูกร้องที่ ๒ เลิกยินยอมให้ผู้ถูกร้องที่ ๑ ใช้พรรคผู้ถูกร้องที่ ๒ เป็นเครื่องมือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน สั่งการรัฐบาลให้ดำเนินการตามความต้องการของผู้ถูกร้องที่ ๑

๘.ให้ผู้ถูกร้องที่ ๒ เลิกยินยอมให้ผู้ถูกร้องที่ ๑ ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

แล้วไงต่อ?

คำร้องแบบนี้คุ้นๆ มั้ยครับ

ใช่ครับ คล้ายกับคำร้อง “พิธา-ก้าวไกล” ล้มล้างการปกครอง ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยที่ ๓/๒๕๖๗ เห็นว่า การกระทำของพรรคก้าวไกลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามธรรมนูญมาตรา ๔๙ วรรคหนึ่ง และสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการกระทำ

จากนั้น “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” นำคำวินิจฉัยนี้ไปร้องคดียุบพรรคก้าวไกล และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรค

คดีนี้เช่นกัน นอกจากล้มล้างการปกครองแล้ว “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” ยังร้องให้ศาลสั่ง “ทักษิณ” เลิกครอบงำพรรคเพื่อไทย และสั่งพรรคเพื่อไทยเลิกให้ “ทักษิณ” ครอบงำ

หากศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดการกระทำ จากนั้นจะเป็นคดีใหญ่ คือยุบพรรคเพื่อไทย

และร้องเอาผิดตามกฎหมายพรรคการเมือง ๒ มาตรา

มาตรา ๒๘ ห้ามพรรคการเมือง “ยินยอม” ให้บุคคลที่ไม่เป็นสมาชิกพรรคเข้ามาควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ ศาลรัฐธรรมนูญสามารถสั่งยุบพรรคการเมือง และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้นได้ถึง ๑๐ ปี

มาตรา ๒๙ ห้ามคนนอกเข้ามาควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํา ก้าวก่ายจนทำให้กิจกรรมของพรรคการเมืองขาดความเป็นอิสระ ซึ่งคนนอกที่เข้ามาทำการครอบงำพรรค มีโทษถึงจำคุก ๕-๑๐ ปี

วันนี้ยังไม่เสียว

แต่วันหน้าไม่รู้

ยุบพรรค-คุก ๑๐ ปี ไม่ใช่เล่นๆ นะครับ

Written By
More from pp
อิมแพ็ค ห่วงใยในสุขภาพความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงาน วางมาตรการเฝ้าระวังโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนา
นางสาวจินตนา  พงษ์ภักดี ผู้อำนวยการ สำนักงานฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี...
Read More
0 replies on “ยุบพรรค-คุก ๑๐ ปี เชียวนะ #ผักกาดหอม”