‘วาทกรรม’ อันตราย #ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

ยังมีประเด็นให้ติดตาม

วานซืน (๑๑ กรกฎาคม) คณะกรรมาธิการ (กมธ.)วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร เขาประชุมกันเรื่องการนิรโทษกรรม ม.๑๑๒ ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าสักเท่าไหร่

แต่ความเห็นแย้งภายใน กมธ.ชุดนี้ ยังคงมีอยู่เช่นเคย

ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าไม่ควรนิรโทษกรรมความผิด ม.๑๑๒

อีกฝ่ายเห็นว่าควร!

ตามคำแถลงข่าวของ “นิกร จำนง” เลขานุการคณะกรรมาธิการ ไม่ใช่แค่ ม.๑๑๒ ที่ยังเห็นต่างกัน

แต่ยังมีมาตรา ๑๑๐ ด้วย

“…ที่ประชุมมีความเห็นแตกต่างกันแบ่งเป็น ๓ แนวทางคือ

๑.ไม่เห็นด้วยที่จะรวมความผิดทั้งสองมาตราไว้ในการนิรโทษกรรม

๒.รวมความผิดทั้งสองมาตราในการนิรโทษกรรม แต่มีเงื่อนไขเป็นพิเศษ

และ ๓.รวมความผิดทั้งสองมาตราในการนิรโทษกรรมโดยไม่มีเงื่อนไข

ทบทวนกันอีกครั้งครับ

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๐ ผู้ใดกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือต่อร่างกายหรือเสรีภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบหกปีถึงยี่สิบปี

ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน

ถ้าการกระทำนั้นมีลักษณะอันน่าจะเป็นอันตรายแก่พระชนม์หรือชีวิต ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

ผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการตระเตรียมเพื่อประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือต่อร่างกายหรือเสรีภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือรู้ว่ามีผู้จะประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือประทุษร้ายต่อร่างกายหรือเสรีภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ กระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบสองปีถึงยี่สิบปี

มาตรา ๑๑๒ ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี

ด้วยความที่ทั้ง ๒ มาตรามีความละเอียดอ่อนสูงมาก ผลการพิจารณาของ กมธ. ไม่ว่าออกมาแนวทางไหน จะต้องอธิบายในเชิงกฎหมายได้ครอบคลุม และสมเหตุสมผล

อย่าว่าไปตามกระแส

มีประเด็นจาก “อังคณา นีละไพจิตร” สมาชิกวุฒิสภาป้ายแดง ที่ฟังดูแล้ว จะนำไปสู่ข้อถกเถียงอีกมากว่าเจตนาคืออะไร

“…ยอมรับว่า คนที่โดนคดี ๑๑๒ มีจำนวนหนึ่งที่มีลักษณะพยาบาทอาฆาตมาดร้ายจริง

แต่ยังมีอีกหลายคนที่อาจจะถูกกลั่นแกล้ง หรือไม่ได้ตั้งใจจะก่อให้เกิดความเสียหาย

ส่วนตัวจึงมองว่าควรพิจารณาเป็นแต่ละราย เช่นกรณีคนที่แต่งชุดไทย แต่ถูกโทษจำคุก ๓ ปี จึงมองได้ว่าเขาอาจจะพลั้งเผลอไป

ถ้าให้โอกาสเขาได้กลับมาในสังคม เชื่อว่าเขาก็จะเป็นคนหนึ่งที่สามารถทำประโยชน์ให้กับสังคมได้ ดีกว่าไปติดคุก…”

ก็ถือว่ามีความเข้าใจในบริบทของการกระทำความผิดในระดับหนึ่ง

ที่ผ่านมาการแสดงความพยาบาทอาฆาตมาดร้ายทั้งด้านวาจา ข้อเขียน และพฤติกรรม เกิดขึ้นจริงโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น

นักสิทธิมนุษยชนอย่าง “อังคณา นีละไพจิตร” ก็ยอมรับว่ามีจริง

แต่การบอกว่า แต่งชุดไทย ถูกโทษจำคุก ๓ ปี มันผิวเผินเกินไป

ไม่เคยมีใครในประเทศไทยแต่งชุดไทยแล้วถูกแจ้งความว่าทำผิดกฎหมายครับ

สมาชิกวุฒิสภา เป็นผู้ทรงเกียรติ การให้ข้อมูลต่อสาธารณะนั้น จะต้องครบถ้วน และเที่ยงตรง ไม่ใช่พูดในสิ่งที่ตัวเองอยากให้เป็น

คำพิพากษาคดีนี้มีให้อ่าน สาระสำคัญไม่ใช่เรื่องชุดไทย ฉะนั้นอย่าสร้างวาทกรรมให้ผู้คนเข้าใจผิด เหมือนคดี ตายายเก็บเห็ดติดคุก

ทั้งที่จริงไม่ใช่ตายาย เพราะอายุ ๔๗ กับ ๔๔ ปี

ไม่ได้ถูกจับเพราะเก็บเห็ด แต่ถูกจับเพราะไปตัดไม้ในป่าสงวนแห่งชาติป่าดงระแนง ๗๒ ไร่ มีหลักฐานตัดไม้สักและกระยาเลยกว่า ๑ พันต้น

คำพิพากษาศาลคดีที่ “อังคณา นีละไพจิตร” บอกว่าติดคุกเพราะแต่งชุดไทย ความโดยสรุปคือ…

จำเลยกระทำความผิด แต่งกายด้วยชุดไทย ถือกระเป๋าสีทองขนาดเล็ก มีชายชุดไทยแต่งชุดไทยราชปะแตนเดินตามหลังคอยกางร่มให้ มีหญิงใส่ชุดลายดอกถือพานและถือโทรโข่งเปิดเพลงมาร์ชราชวัลลภเดินตาม

โดยในขณะที่จำเลยเดินแบบ มีผู้ชุมนุมตะโกนคำว่า “พระราชินี” และ “ทรงพระเจริญ” มีผู้ชุมนุมยื่นมือไปจับข้อเท้า ซึ่งจำเลยได้หยุดยืนให้ผู้ชุมนุมจับข้อเท้า และจำเลยได้ยื่นมือไปจับมือทักทายกับผู้ชุมนุมอื่นๆ ก่อนเดินย้อนกลับเข้าไปหลังป้ายที่มีข้อความว่า “ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์”

จากนั้น “สายน้ำ” ได้ออกมาเดินแบบในชุดเสื้อกล้ามครอปท็อปสีดำ มีข้อความที่แผ่นหลังว่า “พ่อกูชื่อมานะ ไม่ใช่วชิราลงกรณ์” แล้วมีผู้ชุมนุมตะโกนว่า “ในหลวงสู้ๆ”

การกระทำของจำเลยและสายน้ำเกิดขึ้นโดยต่อเนื่องกัน ศาลพิพากษาโดยนำพฤติการณ์มาพิเคราะห์กับสภาพแวดล้อมแล้วเข้าใจว่า จำเลยและสายน้ำมีการซักซ้อมกันมาก่อนว่าจำเลยแสดงตนเป็นราชินี และสายน้ำแสดงตนเป็นรัชกาลที่ ๑๐

ครับ…มันคือพฤติการณ์ที่แสดงกันต่อเนื่องในช่วงเวลาดังกล่าวในหลายสถานที่

ทำกันเป็นทีม

ไม่ได้ติดคุกเพราะแต่งชุดไทย

ก่อนที่ กมธ.จะสรุปออกมาแนวทางใดแนวทางหนึ่ง สิ่งที่ต้องตระหนักให้มากคือ

ม.๑๑๒ เป็นลักษณะความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร

ไม่ใช่ความผิดเกี่ยวเนื่องด้วยเสรีภาพและชื่อเสียง ซึ่งมุ่งคุ้มครองบุคคลธรรมดา

การหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ จึงไม่อาจนำเหตุให้กระทำการได้ตามมาตรา ๓๒๙ และ ๓๓๐ ในประมวลกฎหมายอาญามาอ้างได้

มาตรา ๓๒๙ ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต

(๑) เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม

(๒) ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่

(๓) ติชม ด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ

(๔) ในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรม เรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลหรือในการประชุม ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท

มาตรา ๓๓๐ ในกรณีหมิ่นประมาท ถ้าผู้ถูกหาว่ากระทำความผิด พิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ห้ามไม่ให้พิสูจน์ ถ้าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว และการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน

ในการสู้คดี ม.๑๑๒ จำเลย หรือผู้ต้องหา หลายคนอ้าง ๒ มาตรานี้เพื่อให้พ้นผิด จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ กมธ.ต้องตีข้อกฎหมายให้แตก มองพฤติการณ์ของจำเลยหรือผู้ต้องหาแต่ละคนให้ออก

ก่อนที่จะให้คำตอบว่าควรนิรโทษกรรม หรือไม่นิรโทษกรรม ผู้ต้องหาคดี ม.๑๑๒.

Written By
More from pp
บีทูเอส ปลุกกระแส ส่งโปเกมอน เสิร์ฟความสนุก ถึงหน้าร้าน กับแคมเปญ “B2S X Pokémon”เทรดดิ้งการ์ดเกม ครั้งแรกในไทย  
บีทูเอส ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ผนึกความร่วมมือกับ เดอะ โปเกมอน คอมพานี เจ้าของแบรนด์คาแร็กเตอร์การ์ตูนชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่นรุกสร้างคอมมูนิตี้ “B2S X Pokémon” สำหรับคนรัก...
Read More
0 replies on “‘วาทกรรม’ อันตราย #ผักกาดหอม”