ชักอิจฉา…..
“ลุงตู่” แฟนตรึม!
ถูกโควิด-๑๙ หักอกจนซูบผอมตรอมใจหน่อยเดียว พ่อยก-แม่ยก พากันน้ำตาเล็ด น้ำตาร่อย
ลุงตู่ ของชั้น ถูกไอ้โคมันรุมขวิด!ผมเลยตกที่นั่งด่วนจี๋-ไปรษณีย์จ๋า ของนายกฯ “ฝากข้อความ” รักและห่วงใยผ่านผม กำชับ ต้องไปบอกนายกฯให้ได้นะ
“ลุงตู่…สู้..สู้ พวกเราจะสู้ไปด้วยกัน”!
แล้วผมจะไปบอกได้ทางไหนล่ะ เอาเป็นว่า ฝากสายลมพาไป ให้ท่านนายกฯ กินได้-นอนหลับ
ไม่ต้องอ้วน แต่ให้แกร่ง ผอมๆ ก้นปอดยอดนักสู้น่ะดีแล้ว จะได้ยาว และย้าวยาวไปเลย!
นายกฯ “หลับตาลง” ได้แล้วหละ…….
เพราะขณะนี้ สถานการณ์โควิด-๑๙ ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของทีมแพทย์สาธารณสุขเบ็ดเสร็จแล้ว
คณะแพทย์ประกอบด้วยแพทย์เชี่ยวชาญ เป็นผู้กลั่นแผนปฏิบัติการ “รับ-รุก” กับเจ้าไวรัสโควิด
ครอบคลุมเป็นขั้นตอน ๑-๒-๓-๔-๕ ตั้งแต่สถานการณ์เฉพาะหน้าปัจจุบัน เบ็ดเสร็จยันอนาคตที่มันจะต้องราบคาบ
เรียกว่า การทำงาน มีทิศทาง-เป้าหมาย “มั่นใจได้” ครบทุกด้านในการรับมือ
นายกฯตอนนี้ เข้าตามสูตร “เป็นนาย ไม่ต้องลงไปแย่งงานลูกน้องทำ”
เพราะนาย จะเก่งทุกเรื่อง-รู้ทุกเรื่อง ไปไม่ได้หรอก
นายมีหน้าที่ตัดสินใจ สั่งการ และรับผิดชอบ ทั้งที่ทำเอง และทั้งที่ลูกน้องทำ!
จากนี้ เพียงสั่งการภาคสนามไปตามแผนที่ผ่าน “ทีมสาธารณสุข” ประมวลแต่ละวัน แต่ละขั้นตอนแล้วเท่านั้น
ในโลกยุคภาคีเครือข่าย การสื่อสาร ๒ ทาง เป็นอาวุธขมัง ดังนั้น เรื่องราว ข่าวด่า ข่าวชม ข่าวยั่วให้หลุด ตามโซเชียลมีเดียน่ะ
ดูไว้ ฟังไว้ แต่อย่าไปอินกะมัน!
ไม่งั้น ป.ส.ด. “ประสาทแดก”
ต้องเข้าใจว่า สังคมไทย เนื้อแท้เป็นสังคมมีน้ำใจ โอบอ้อมอารี ชอบเลี้ยงสัตว์ เมตตาสัตว์
เมื่อต้องอยู่ร่วมกับสัตว์…..
ก็ต้องเข้าใจธรรมชาติสัตว์ ต้องทนเสียงเห่า กลิ่นสาบ คราบขี้เรื้อน และการไล่งับน่อง ซึ่งเป็นธรรมดา
จะยกสัญชาติญานสัตว์ให้มีอิทธิพลเหนือสติ-ปัญญามนุษย์ไม่ได้หรอก
เว้นแต่อยากลดตัว ลงไปฟัดกะสัตว์ …….
นั่นก็ต้องเข้าใจ สัตว์… ถึงมันแพ้ มันก็ไม่มีคำว่า “เสียหน้า”
เพราะสัตว์ไม่มีสติแยกแยะ สัตว์จึง กิน, อยู่, สู่สม ในหมู่กันเองได้ โดยไม่เลือก ไม่แยกแยะ และไม่อาย
เพราะมันมีเพียงสัญชาติญาน ตอบสนองต้องการและสิ่งเร้าตรงหน้าเท่านั้น!
ไม่งั้นจะมีข่าว “วางยาเบื่อหมา” แล้วยกเค้าได้ไง?
แค่เนื้อคลุกยาเบื่อชิ้นเดียวโยนให้แท้ๆ หมามันก็ยกบ้านให้โจร ทั้งที่คำว่า “ซื่อสัตย์” นอกจากใช้กับคนแล้ว ที่ใช้กับสัตว์
ก็มีแต่ “หมา” นี่แหละ!
อยู่ว่างๆ เปิดยูตุ๊บ ดูเทปรายการ The Golden Song เวทีเพลงเพราะ ที่เขาแข่งกันทุกเย็นวันอาทิตย์ ทางช่อง ๓๑ ซีครับ
ผมติดยิ่งกว่ายาไอซ์-ยาอี ดึกๆ ก่อนนอน ต้องดูซะหน่อย ถ้ารวยอยากเป็นสปอนเซอร์
เป็นรายการแข่งขันร้องเพลงรายการเดียวที่ผมดูแล้ว-ดูอีก เพราะเขาเอาเฉพาะ “เพลงลูกกรุง” ไล่มาแต่ยุคล้วน ควันธรรม, สุนทราภรณ์, นริศ, ทนงศักดิ์, สุเทพ, ชรินทร์…
แต่เอ…เพลงของ “ชรินทร์ นันทนาคร” นี่ แปลก แต่ไหน-แต่ไร ไม่ว่าแข่งขันรายการไหน
ไม่มีผู้แข่งคนใดเอาเพลงชรินทร์มาร้องเลย เพลงน่ะ ร้องไม่ยาก แต่ยาก ที่จะหาคนร้อง “เสียงถึง” อย่างชรินทร์
ที่ผมติด เพราะ “ติดเด็ก”
คือเพลงบางเพลงก่อนผมเกิด แต่มีเด็กๆ ๘ ขวบ ขึ้นไปถึง ๑๑-๑๒-๑๓-๑๔-๑๕ ร้องเพลงลูกรุงได้ แถมร้องถึง-ร้องดีเหลือหลาย ฟังแล้วน้ำตาซึม
ที่ซึม ไม่ใช่ซึ้ง แต่เพราะ “ดีใจ” ที่คนรุ่นใหม่แกะกล่อง บางคนเป็นนิสิต-นักศึกษา เป็นครูอาจารย์ แต่ใจเหมือนมาลัยร้อย นำเพลงลูกกรุงมาร้อง ชนิด “ศรัทธา-เข้าถึง”
เพลง ทำทางสังคมได้ ปลุกวิญญานสัตว์ดิบ-สัตว์มนุษย์ผู้มีใจฝึกแล้วประเสริฐได้
เพลงยุคก่อน สะท้อนจิตวิญญานละเมียด-ละเอียดอ่อนของคนและสังคม ร้อยปีไม่มีลืม
เพลงยุคต่อๆ มา เช่นปัจจุบัน มันก็ดีนะ แต่เห็นชัดว่า มันสะท้อนจิตวิญญานคนแต่ละยุค ซึ่งยุคปัจจุบัน หนักไปทาง หื่น โหด กระหาย เร่าร้อน กระแทก-กระทั้น
มาแรง มาเร็ว แล้วก็หายไป ไม่มีอะไรให้ฝังจำ!
หนึ่ง จักรวาล เขาทำดนตรีเก่ง
คอมเมนเตเตอร์ก็ล้วน “มีองค์” กบ-สุวนันท์, กัน นภัทร, พี่โจ้ สุธีศักดิ์๋, แม่เม้า สุดา พ่อเกลือ-พิธีกร ก็ครบเครื่อง
อ้าว…นอกเรื่อง…..
ไม่ใช่อะไร เห็นนายกฯ เป็นนักร้อง-นักแต่งเพลง รายการดีๆ น่าป่าวร้องให้ดูกันมากๆ
เผื่อนายกฯ ดู อาจเกิดไอเดียเขียนเพลง “ผู้ชนะโควิด” ไปร้องแข่งกะ “พี่ภู” ผู้ชนะ ๑๐ ทิศ เขาบ้าง
สรุป มาตรการรับมือโควิดต่างๆ อย่างที่รองฯ วิษณุปูพื้นไปวานซืน
เมื่อวาน (๑๗ มีค.๖๓) ครม.มีมติออกมา ๖ ด้าน ขยำรวมคร่าวๆ ได้ประมาณนี้
อันดับแรกที่ต้องย้ำ ๒ ย้ำ……
ย้ำแรก
-ไม่มีการปิดเมืองหรือปิดประเทศ (คือการห้ามเข้า-ออก) แต่อย่างใด
ย้ำที่สอง
-สถานการณ์ยังอยู่ในระยะที่ ๒ ยังไม่ไปสู่ระยะที่ ๓
ระยะที่ ๓ จะใช้ต่อเมื่อคนไทยรับเชื้อกันเอง โดยสืบสาวราวเรื่อง “หาต้น-หาปลาย” ไม่พบ และมีการแพร่เชื้อจำนวนมากขึ้นในหลากหลายพื้นที่
-สถานที่และกิจการที่ต้อง “ปิดชั่วคราว” ต่อจากนี้ ได้แก่
สถานที่ชุมนุมคราวละมากๆ เป็นกิจวัตร
มหาวิทยาลัยรัฐและเอกชน/โรงเรียนรัฐและเอกชน/สถาบันกวดวิชา/สนามมวยทั่วประเทศ/สนามกีฬาที่มีการสัมผัสถึงกัน เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล/โรงภาพยนต์
-ร้านค้า ร้านอาหาร “เปิดบริการได้ตามปกติ” แต่ต้องมีมาตรการรองรับ เช่น การตรวจวัดไข้ มีเจลล้างมือ
-รัฐบาลเตรียมให้ข้าราชการทำงานที่บ้าน
-สถานบริการในเขตกทม./ปริมณฑลให้ “หยุดบริการ” เป็นเวลา ๑๔ วัน
เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คือ ๑๘-๓๑ มีค.
โรงภาพยนต์, สถานบันเทิง, ผับ-บาร์, ร้านนวดไทย-นวดโบราณ เป็นร้านที่เข้ากฎหมายว่าด้วยสถานบริการ “ปิดทั้งหมด”
– เตรียมพร้อมร.พ.ทั้งหมดทั่วประเทศ/เตียงผู้ป่วย/บุคลากร/ยา เวชภัณฑ์
– อนุมัติค่าตอบแทนพิเศษให้บุคลากรทางการแพทย์
ด้านเวชภัณฑ์
– เร่งผลิตหน้ากากอนามัย/เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ วันละ ๒ ล้านชิ้น แจกจ่ายสถานพยาบาล
ด้านป้องกันและสกัดการนำเชื้อเข้าประเทศ มาตรการ มีดังนี้
-ต่างชาติที่เดินทางจากประเทศแหล่ง “แพร่ระบาด” ๔ ประเทศ “อิตาลี, จีน, เกาหลีใต้, อิหร่าน” กับ ๒ เขตปกครองพิเศษ “ไต้หวัน, ฮ่องกง-มาเก๊า”
มาไทย ต้องมีใบรับรองแพทย์อายุไม่เกิน ๓ วัน, มีใบประกันสุขภาพ, ยินยอมใช้แอพพลิเคชันติดตามของรัฐ
และต้องดูพาสปอร์ตด้วยว่า…….
ประเทศสุดท้าย อันเป็นต้นทางมาไทย คือประเทศอะไร ตม.ต้องคัดกรอง
เสร็จแล้วยังเข้าเมืองไม่ได้ ต้อง “กักตัว” ดูอาการ ๑๔ วันที่โรงแรมตามจัดไว้ ครบ ๑๔ วันสบายดี จึงจะเข้าเมืองได้
-ต่างชาติ ที่เดินทางมาจากประเทศ “โรคระบาด” คือนอกจาก ๔ ประเทศ แต่ยังไม่ประกาศเป็นเขตติดโรคติดต่อ
มาไทย ต้องมีใบรับรองแพทย์อายุไม่เกิน ๓ วัน, ใบประกันสุขภาพ, มีที่พักติดต่อได้ในประเทศไทย, ยอมใช้แอพพลิเคชันติดตามของรัฐ
และต้อง “กักตัว” ๑๔ วัน ในโรงแรมก่อนเช่นกัน
-ข้าราชการ พนักงานรัฐ, รัฐวิสาหกิจ “ห้ามไปต่างประเทศ” ยกเว้นมีเหตุจำเป็น
-ประชาชน “ให้งดการเดินทาง” ไปประเทศเขตแพร่ระบาดและประเทศระบาดต่อเนื่อง
ก็ไปหาอ่านรายละเอียดเอา อีกเยอะแยะ
มีอีกประเด็นที่ผมเห็นว่า รัฐบาลน่าจะกำหนดคำให้ใช้เป็นทางการ เพราะที่สื่อกำหนดใช้เองตอนนี้ สร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนมาก
นั่นคือคำว่า “ปิดเมือง”!
อย่างที่ใช้กับบุรีรัมย์, อุทัยธานี, อ่างทอง, และที่บางสื่อใช้กับมาตรการ “ปิดสถานบริการ-สถานบันเทิง ๑๔ วัน” ตอนนี้
สรุปเรียกว่า “ปิดกรุงเทพฯ”!
ก็เข้าใจ สื่อคงไม่รู้จะใช้คำไหน กับมาตรการเข้มข้น ปิดนั่น-ปิดนี่ เลยรวบหัว-รวบหาง ให้สั้น-กระชับ ในภาษาสื่อไปเลยว่า “ปิดเมือง-ปิดกรุงเทพฯ”
มันไม่ใช่ คนละความหมายกันเลย บุรีรัมย์ก็ดี อุทัยธานีก็ดี กรุงเทพฯ ก็ดี ที่เรียก “ปิดเมือง”
เขาไม่ได้ปิด คนในยังออก-คนนอกยังเข้าได้
เพียงมีมาตรการ “ป้องกัน-ควบคุม” การระบาดด้วยปฏิบัติการ” เข้มข้น” กว่าปกติเท่านั้น
ถ้าปิดเมือง-ปิดกรุงเทพฯ มันต้องเหมือน “ปิดประตูตาย” เลย อย่างมาเลย์ฯ ทำตอนนี้ คนในห้ามออก-คนนอกห้ามเข้า ๑๔ วัน
นี่…แล้วถ้าเกิด “ปิดกรุงเทพฯ” หรือ “ปิดประเทศ” ขึ้นมาจริงๆ จะเรียกว่าอะไรให้มันตรงเป็นจริงล่ะ?
ฝาก “ราชบัณฑิตย์ฯ” คิดด่วน!
วันนี้บทความของป๋าเปลว ถูกใจข้าพเจ้ายิ่งนัก ดุเด็ด เผ็ดมัน ซาบซึ้ง หยดย้อยทุกถ้อยกระบวนความ
ติดตามชม รายการ Golden Song ทางช่อง One เหมือนป๋าเลยค่ะ คิดแบบเดียวกับป๋าเปี๊ยบเลย 5555
รักป๋ามากนะคะ ดูแลสุขภาพด้วยค่ะ