เปลว สีเงิน
เห็น “อุ๊งอุิ๊ง-ชลน่าน-ณัฐวุุฒิ” ตีหน้าเศร้า ที่น่าน เมื่อวาน (๒๗ มค.๖๖) แล้ว
สงสารจับใจ!
สงสารแรก สงสาร “อุ๊งอิ๊ง” อุตส่าห์อุ้มท้อง-อุ้มไส้ หาเสียง หวังแลนด์สไลด์ จะได้พาพ่อกลับบ้าน
นึกว่าจะนั่งเสลี่ยงสบายๆ มีหมาหาม
แต่…โธ่เอ๋ย อนิจจา กลับต้องมารับกรรมที่พ่อทำไว้ กลิ้งกลอก-หลอกใช้คนเพียงให้ตนสู่อำนาจ แล้วทรยศหักหลัง ทั้งเพื่อนผองน้องพี่มาตลอด
ถึงตอนนี้ กรรรมเริ่มสนองเวร
คนทำกรรมคือพ่อ แต่ลูกกลับต้องเป็นผู้รับเวรแทนพ่อ โดยมี “ตู่-จตุพร” เป็น “เจ้ากรรม-นายเวร”!
สงสารคนที่ ๒ คือสงสารชลน่าน “หัวตอพรรคเพื่อไทย” ที่ไม่มีราคาในตำแหน่ง “ว่าที่นายกฯ บัญชีรายชื่อพรรค” เลย
นั่นก็ไม่เท่าไหร่
ที่ “ตู่-จตุพร” โพสต์เฟซเมื่อวาน ถ้าชลน่านได้อ่าน “ชะตากรรมคนเป็นหัวหน้าพรรคให้ทักษิณ” ละก็ จิตตกลงหำ แน่
จะยกมาให้ดู ชลน่านก็อ่านดูนะ
“………….คนที่เป็นหัวหน้าพรรคในช่วงเป็นรัฐบาลจะมีอันเป็นไปเสมอ กรณีนายยงยุทธ์ วิชัยดิษฐ์ เป็นหัวหน้าพรรค แล้วก็เกิดปัญหาใหญ่
คือ การ “แก้ไขรัฐธรรมนูญ” ไม่ใช่กรณี “สนามกอล์ฟอัลไพน์” การแก้รัฐธรรมนูญ มาถึงวาระสอง มีการส่งสัญญาณให้สละยงยุทธ์ วิชัยดิษฐ์
เขาจึงลาออกทุกตำแหน่ง ทั้ง ส.ส.รองนายกฯ รมว.มหาดไทย และหัวหน้าพรรค
ซึ่งยังไม่ได้เก็บของออกจากห้อง ก็ถูกขนมาไว้หน้าห้องเรียบร้อย อำมหิตที่สุด แล้วยังเอาคนที่ทำให้เขาไปติดคุกมามีอำนาจในปัจจุบันนี้ด้วย
ดังนั้น ขอให้หมอชลน่าน โชคดี”
สงสารคนที่ ๓ คือสงสารเต้น-ณัฐวุฒิ “เพื่อนกิน เพื่อนกัน ถ้าเพื่อนรู้ไม่ทัน ก็จะถูกเพื่อนกันเอาไปกิน” ที่ชื่อ “ตู่-จตุพร” ซึ่งเต้นเคยกันเอาไปกินนั่นแหละ
เป็นแกนนำ “เผาบ้าน-เผาเมือง” มาด้วยกัน เรื่องในที่ลับ-ที่แจ้งเกี่ยวกับทักษิณ ก็รู้มาด้วยกัน
แต่แล้ว มาวันนี้ จากรวมเป็นแตก “แยกกันเผา”
“ตู่-จตุพร” ควง “นกเขา” ศัตรูเก่าที่กลายเป็นสหายน้ำมิตร “เผาทักษิณ-เผาเพื่อไทย”
ส่วน “เต้น-ณัฐวุฒิ” ทำหน้าที่หมาในคอกที่ยังภักดีนาย ควง “อุ๊งอิ๊ง” ผู้สืบสายเลือดมรดกพ่อ
“เผานายกฯประยุทธ์-เผารวมไทยสร้างชาติ” เพื่อแผ้วถางทางแลนด์สไลด์ จะได้กลับไปมีอำนาจ “โกงบ้าน-กินเมือง” อีกครั้ง
ปกติ “เต้น-ณัฐวุฒิ” โต้ได้ทุกดอก-คร่อกได้ทุกเรื่อง
แต่กับ ตู่ “บัดดี้-คู่ซี้เก่า”….
เต้นถึงกับออกอาการ “บั้นท้ายเท้า” ติดคอ!
เท่ที่สุด เท่าที่เค้นคำออกมาได้ ประมาณนี้…..
“พรรคเพื่อไทยไม่มีแนวทางตอบโต้กับนายจตุพร หรือใครก็ตามที่วิพากษ์ วิจารณ์ ในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับนโยบาย……
แม้เหตุการณ์ตอนนี้ ก็ไม่เคยรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ แต่ถ้าสื่อสารถึงกันได้บ้าง อยากบอกนายจตุพรว่า
สิ่งที่เกิดขึ้น มันน่าจะเพียงพอ หรือได้ข้อยุติ สำหรับการแสดงท่าทีแล้วหรือไม่
ขอให้พวกเราพี่ๆ น้องๆ ได้ทำงานในสนามเลือกตั้ง เราไม่ทะเลาะกับนายจตุพร หากไม่สบายใจก็ไม่เป็นไร หากนายจตุพร จะหันมาที่ผม…..”
อุ๊ย….ตื่นเต้น
เป็นครั้งแรกที่เห็นสุภาพบุรุษเพื่อไทยทั้งพรรค ขนาดตู่-จตุพร วิสามัญฆาตกรรมพ่อแม้วบังเกิดเกล้าจนเหลือแต่เถ้า
แต่วงศ์วานเครือเพื่อไทยต่าง “ใจพระ”
พากัน..ช่าง….แม่ง…มัน ตั้งแต่ลูกเลือดพ่อ ยันหมาในคอกทุกตัว ไม่มีใครติดใจชี้แจง “ข้อเท็จ-ข้อจริง” ใดๆ ในแต่ละประเด็นที่จตุพรแฉ
อย่างนี้ ก็ต้องขออนุโมทนา “นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ” ให้ทั้งพรรค-ทั้งตระกูลทักษิณด้วย เทอญ
ใจพระแล้ว จะใจพระ ๒ มาตรฐานไม่ได้นะ แบบนั้น จากสวรรค์ลงนรกแน่
อย่างกิจวัตรประจำวันของพรรค ตื่นเช้าต้องให้โฆษก-โฆษกี ไปหาเรื่องมาแถลงด่านายกฯ ประยุทธ์คนละเรื่อง นั้น มันก็ต้อง “เพียงพอแล้ว” ให้มันเหมือนๆ กันด้วย
ผมพูดอย่างนี้ถูกมั้ย ทั้งคอก…โปรดวินิจฉัย!
และเพื่อ “ล้างบาป” เก่าๆ ให้สิ้นไป เส้นทางแลนด์สไลด์เพื่อ “โกงเอามาแบ่งกัน” จะได้ราบรื่น
การ “ลากไส้ทักษิณ” ที่อาจมีตามมาเป็นรายที่ ๓ ที่ ๔ ในอนาคต จะได้ไม่มี ให้จบที่ “รุ่นตู่-จตุพร” นี่เถอะ
เสนาะ เทียนทอง “ลากไส้ทักษิณ” รุ่นแรก
ตู่-จตุพร พรหมพันธ์ “ลากไส้ทักษิณ” รุ่นที่สอง
อย่าต้องให้ เต้น-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ “ลากไส้ทักษิณ” เป็นรุ่นที่สามเลย
พูดแล้วขนลุก แบบนั้น มันต้องมีรุ่นต่อๆ ไป
เพี้ยง ภาวนา รุ่นต่อไปคนนั้น อย่าชื่อ “ชลน่าน” เล้ยยยย เจ้าประคู๊ณณณณณ!!!!
แต่รุ่นไหนๆ จะคลาสสิกและขลังเท่ารุ่น “หลวงพ่อเหนาะ” ลากไส้ เห็นจะไม่มี
อย่างรุ่น “ตู่-จตุพร” ทักษิณยังลงมาฟัดกะหมา แต่รุ่นหลวงพ่อเหนาะ ไม่มีหมาตัวไหนซักตัวกล้าออกมาเห่าโต้
รุ่นนั้น ถูกบันทึกเป็น “วรรณกรรมริยำคน” ฉบับหอสมุดแห่งคนโกงกินชาติ หาอ่านได้ในหนังสือ “รู้ทันทักษิณ” เล่ม ๔
“นายเสนาะ เทียนทอง” ลากไส้ทักษิณ พอจะนำมาให้อ่านเป็นตัวอย่างได้ ว่า………
“… ทักษิณมีลักษณะเป็นนักเสี่ยงโชคนิยมความเสี่ยง เข้าลักษณะกล้าได้กล้าเสีย ขาดความรอบคอบกระทั่งเคยประสบปัญหาทางธุรกิจ
“ทักษิณ” นิยมบริหารธุรกิจและคิดไวทำไวชอบตัดสินใจเดินหน้าไปก่อน แล้วค่อยหาวิธีแก้ปัญหารายละเอียดภายหลัง โดยใช้การตลาดเป็นเครื่องมือสำคัญ
“ทักษิณ” มีวุฒิการศึกษาแต่ขาดวุฒิภาวะของการเป็นผู้นำ ไม่มีสภาวะผู้นำ โดยเฉพาะในระดับประเทศ
ลักษณะเฉพาะตัวเหล่านี้ ………
นำไปสู่พฤติกรรมการใช้อำนาจ การกำหนดนโยบายและการดำเนินนโยบายที่ไม่รอบคอบ สุ่มเสี่ยง อาทิ การจดทะเบียนคนจน ผมเคยแนะนำว่า
“ทำไม่ได้นะ ไปประกาศเฉยๆ ไม่ได้ การประกาศสงครามความยากจน แต่เอาเขามาขึ้นทะเบียนเฉยๆ คนที่เป็นหนี้สินอยู่ แต่ไม่ใช่คนจน ก็มาจดทะเบียนด้วยนะ มันจะบานปลายกันไปใหญ่ น้องไปให้เขาจดทะเบียน พี่ไม่เห็นด้วย มองด้วยจิตสำนึกมันปฏิบัติไม่ได้ มันทำไม่ได้ มันได้แต่ตัวเลขมาโชว์ตอนเลือกตั้ง แต่หลังจากนั้นมันไม่มีผลจริง”
แต่ทักษิณบอกว่า…..
“โธ่…พี่เหนาะ คนตาบอดมันกลัวเสือเหรอ ถ้าเรา
ไม่พูดแบบนี้เราจะได้เสียงเหรอ”
เอาอีกซักตอนที่หลวงพ่อเหนาะเฉาะไว้ ว่า
“………….มีการใช้ระบบธุรกิจครอบครัวมาจัดการผลประโยชน์ในรัฐบาลแบบเบ็ดเสร็จ ตั้งแต่ขนคนที่เคยทำงานกับตัวเองในบริษัทแบบยกชุด
วางคนของตัวเองไปในทุกกระทรวง โดยไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งที่มีอำนาจอย่างเป็นทางการ
แต่ทุกคนในกระทรวงจะรู้ดีว่า คนคนนี้ คือคนของเขา จะทำอะไรก็ต้องผ่านคนคนนี้ เรียกว่ามี ๒-๓ คนไปดูแลผลประโยชน์ทุกกระทรวง
เป็นเสมือนหลงจู๊ แล้วยังส่งคนไปยึดตำแหน่งใน กมธ.ชุดต่างๆ ของสภาผู้แทนฯ ใน ครม.ก็ไม่ต่างกัน
ทุกโครงการ ที่จะมีการอนุมัติ ถ้ารัฐมนตรีคนไหนเสนอเรื่องขอใช้งบกลางที่จัดสรรไว้มหาศาล ก็ต้องไปเคลียร์กับคนของเขาให้เรียบร้อยก่อน
รัฐมนตรีหลายคน จะมีคนของเขามาบอกว่า…. เดี๋ยวทำงบฯ จะเอากี่พันล้าน แต่ต้องเอาเข้าพรรค ๑๐%
หมายความว่า จะไปทำอะไรขึ้นมาก็ได้ ไปเขียนโครงการมา ถ้ารัฐมนตรีคนไหนทำไม่ได้ ก็อยู่ไม่ได้
เวลาทำโครงการ ก็ต้องจ้างที่ปรึกษาที่เป็นคนของตัวเอง แล้วใช้วิธีที่เก่งที่สุด คือ ยกเว้นระเบียบพิเศษ
ยิ่งใช้วิธี “ขีดเส้นตาย” ว่าต้องเสร็จวันนั้น-วันนี้ เหมือนกรณีสนามบินสุวรรณภูมิ
เพื่อจะได้ใช้วิธีจัดซื้อ-จัดจ้างแบบพิเศษ นโยบาย ๑๐%
รัฐมนตรีต้องทำโครงการ โดยตบแต่งงบประมาณขึ้นมาก่อนว่า มูลค่าของโครงการจะครอบคลุม ๑๐% ที่ต้องหักเข้าพรรค
จากนั้น ไปตกลงกับคนของเขา “ผ่านคุณหญิง” เมื่อเรียบร้อยเมื่อใดก็ส่งมาให้ตัวตาย-ตัวแทนทางการเมืองที่เขาไว้ใจ พอเข้า ครม.นายกฯ จะเสนอโครงการ และอนุมัติให้เองเสร็จสรรพ รัฐมนตรีไม่ต้องคิด ไม่ต้องสงสัย…”
นอกจากนี้ หลวงพ่อเหนาะยังเอาประโยคที่ทักษิณเคยพูดกับเขามาแฉด้วย
“…พี่เหนาะผมพร้อมแล้ว สมบัติส่วนหนึ่งผมให้ลูก อีกส่วนเก็บไว้สำหรับตายายกินจนตายก็ไม่หมด สมบัติอีกส่วน จะทำเพื่อบ้านเมือง จะใช้หนี้แผ่นดิน”
คำพูดนั้นๆ ผมเคยหลงคิดว่าคนคนหนึ่ง รวยแล้วกลับใจ คิดใช้หนี้แผ่นดิน
ตอนนี้ ผมรู้ความจริงแล้วว่า “รวยจากโกงชาติ” กล้าทำแม้ “เผาบ้านเมือง” เพื่อเอาประกัน
คนรวยคนนี้ รวยแล้วไม่รู้จักพอ ไม่ใช้หนี้แผ่นดินยังไม่พอ มันยังโกงกิน ทรยศต่อแผ่นดิน
ผมเคยพูดและเตือนกับคุณหญิงว่า
“น้อง ถ้ามันได้มาอีกแสนล้าน เอาไปทำไม?”
เขาพากันตอบว่า “ก็รู้ แต่ในเมื่อเล่นการเมือง มันต้องควักเงิน ก็ต้องถือว่าเป็นธุรกิจ”
เคยเตือนหนักๆ ถึงขั้นว่า “ในอนาคต ถ้ามันจะเดือดร้อนหนักๆ คือคนเป็นหัวนะ” เขาก็ตอบอย่างไม่สะทกสะท้านว่า
“ก็รู้ ถ้าพี่ทักษิณจะลง ต้องให้พรรคไทยรักไทย มีอำนาจอย่างน้อย ๒ สมัย ถึงจะปลอดภัย…..”
……………………………
ใครอยากให้ “เพื่อไทย-เพื่อทักษิณ” กลับมากินเมือง ก็เชิญ “แลนด์สไลด์” กันตามสบายนะ
เปลว สีเงิน
๒๘ มกราคม ๒๕๖๖