เปลว สีเงิน
ไม่ทราบว่า……..
เมื่อวาน (๒๙ มีค.๖๗) มีใครฟังการประชุมรัฐสภาบ้าง?
ว่าด้วยเรื่องในหัวข้อ……
“ผลประโยชน์ของนักการเมือง” โดยตรงนั่นแหละ!
นักโทษเทวดาได้กลับแล้ว
ความเร่งด่วนในการผลักดันออกกฎหมายนิรโทษกรรม ก็ไม่เร่งด่วนอีกต่อไป
ดังนั้น เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ “เปิดประตู” ไปสู่การฉีกรัฐธรรมนูญ “ฉบับปราบโกง” ในปัจจุบันทิ้ง
แล้วตั้งสสร.เขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็น “ฉบับสนองโกง” ก็เริ่มเดินหน้า
แต่ “สะดุดตอ” ท่านประธานวันนอร์ ผู้ทำหน้าที่ครัดเคร่งต่อกฎหมายประหนึ่ง “เปาบุ้นจิ้น” เบรกไว้
ทำเอาพวกพรรคก้าวไกล โกรธควันออกตูด
เด็กน้อย ก็คือเด็กน้อย ไม่ต่างกบในสระจ้อย อะไรที่ไม่เป็นดังใจ ก็โอหัง งั่งๆ แบบนึกว่าฉลาด
พยายามทำให้องค์ประชุมไม่ครบบ้าง ยกพรรคตบเท้าจากห้องประชุมตอนโหวตบ้าง พูดคำโตเกินตัวบ้าง
จะบอกว่าเวทนานายชัยธวัช กระทั่งกับ “เจ้าชายแมงป่อง” นามว่าไอติม ก็คงไม่ได้
เพราะความรู้สึกที่ตอบสนองต่อคำพูด-คำจาของเขา มันกระเดียดไปทาง “ทุเรศ” คือ “สงสารแกมสังเวช” มากกว่า!
อย่าทำตัว “สุก” ทั้งที่ยัง “ไม่ห่าม” ด้วยซ้ำแบบนั้นเลย
ไอ้หลักการ วิชาความรู้ อุดมการณ์ อะไรต่างๆ ตามแนวทางพวกคุณนั่นน่ะ แค่ท่องจำ ยังไม่เคยนำมาทดลองจริงในทางปฎิบัติ
แต่อยากบอกในสิ่งที่พวกคุณไม่แยแสฟังในวันนี้ แต่พวกคุณจะสำนึกได้ในหน้า ว่า
“ประสบการณ์” ตะหาก ที่เหนือกว่า “วิชาการ-หลักการ”
“วิชาการ-อุดมการณ์” มันคือ “แว่นสีเขียว” ที่ทำให้ลูกตาพวกคุณเห็นหญ้าแห้ง เป็นหญ้าสด
พวกคุณก็หลงติดยึดหญ้าแห้งตรงหน้าว่าเขียวสดอยู่อย่างนั้นตลอดไป
พวกคุณถอดแว่นสีเขียวออกเมื่อไหร่ วันนั้นแหละ พวกคุณถึงจะรู้ ว่าไหนหญ้าสด-ไหนหญ้าแห้ง ที่หลงแดกมาจนขี้ต้องแคะ!
การแยกแยะ “หญ้าแห้ง-หญ้าสด” ได้ หลุดพ้นจากการหลงกินแต่หญ้าแห้ง ตรงนั้นแหละเรียกว่า “ประสบการณ์”
วันที่พวกคุณ-ก้าวไกล “ตาสว่าง” กระจ่างแจ้งว่า
ถูกเทวดามากประสบการณ์ “หลอกใช้” เป็นเครื่องมือให้สร้างสถานการณ์ “ล้มเจ้า-ล้มประเทศ” เป็นเหตุไม่สงบในบ้านเมือง
หวังให้เป็นเงื่อนไขสู่ทางเลือก ๒ ตัวเลือก ระหว่าง “ล้มเจ้า-ล้มสถาบัน” กับ “พวกโกงบ้าน-โกงเมือง” ว่าอย่างไหน “พอรับได้” กว่ากัน
ในปรัชญา “พิษข่มพิษ” เมื่อจำเป็นต้อง “เลือกใช้”
ก็ “จำใจ” ต้องเลือก ก็ต้องเลือกพิษประเภท “โกงแบ่งกัน” นั่นแหละ!
ร้อยกว่า “กิ้งก่า-แมงป่อง” ที่ชูคอ-ชูหางสลอนในสภานั่นน่ะ
บอกให้รู้ไว้ด้วย พวกคุณมันคือ “เบี้ยในกระดาน” ที่ระดับเก๋าประสบการณ์เขาหลอกใช้
เหนือพวกคุณทั้ง ๒ ฝ่าย เขารู้กัน
และร่วมแผนใช้พวกคุณเป็นเครื่องมือไปสู่เป้าหมาย โดยหลอกให้เล่นบทล้มเจ้า เป็นฉากพราง
ส่วนจุดร่วมในเป้าหมายจริงที่เขาจะไปด้วยกัน คือการ “ล้มประเทศ”!
“ล้มประเทศ” นัยยะของมันคืออะไร?
ก็เปลี่ยนระบอบจากประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไปเป็นสาธารณรัฐ
จากพระมหากษัตริย์….
ก็กูนี่แหละเว้ย..เฮ้ย “ประธานาธิบดี” คนแรกของสาธารณรัฐไทย!!!
พวกคุณ ไอพวกเบี้ยหน้ากระดาน เขาเสือกให้เม็ด ให้โคน ให้เรือ ให้ม้า แดกเรียบ
เสร็จแล้ว พวกหัว ก็ “หัวแดง-หัวส้ม” นั่นแหละ เขาร่วมกันเสวยสุข
พวกคุณมันอยู่ในกระดาน ก็เห็นแค่ในกระดาน ทำคึกเป็นกบ-เป็นเขียดแค่ได้น้ำกระเซ็นจากที่เขาล้างตีน ก็นึกว่าฝนห่าใหญ่ตก
ทำเบ่งเสียงร้องระงมไปเถอะ เดี๋ยวงูมันก็มาแดกเรียบ!
เซียนข้างกระดานที่เขามุงดู…
ตอนนี้ “เขารู้-เขาเห็น” กันทั้งบ้าน-ทั้งเมือง ว่าส้ม-สามนิ้ว เป็นเหยื่อในเหยื่อให้กับใคร?
ถามคำ เมื่อก่อน ไม่ว่าพวกก้าวไกลใครไปแตะ…โอ้โห ออกมาเป็นฝูง ทั้งในโซเชียล ในถนน บุกได้กระทั่งศาล
รุ่นใหม่ ทั้งวัยเหงือกแดง ทั้งวัยนมเพิ่งแตกพาน ไม่รู้ใครเกณฑ์มาจากไหน กลายเป็นองครักษ์พิทักษ์ส้ม ยุ่บไปหมด
แล้วดูซิ ตั้งแต่ ๒๒ สิงหา.๖๖ เป็นต้นมา
จาก “ว่าที่นายกฯ” ของคนทั้งประเทศ กลายเป็นนายกฯ ว่าว จนตอนนี้ ถูกแขวนต่องแต่งไม่ต่างหุ่นไล่กา
และก้าวไกล จะถูกยุบพรรค-ไม่ยุบพรรควันนี้-วันพรุ่ง กระทั่ง ๔๔ สส.ต่างนอนสะดือหด หายใจแขม่ว
ไหนล่ะ…รุ่นใหม่เหงือกแดง พวงนมไม่ทันแตกพาน ที่เคยพล่าน สำแดงศักดาพิทักษ์ส้ม พาลไปทั่วเมือง?
“ส้มรักพ่อ-ส้มรักก้าวไกล” หายหัวกันไปทางไหนหมดล่ะ?
กระทั่ง “ตี๋หัวตั้ง” และศาสดา “ผู้นำวิญญานส้ม” สองตัวนั่นก็เถอะ ตอนรุ่งๆ เป็นอันธพาลส้มมครองเมือง ปี ๖๒-๖๓
โอ้โฮ…ทั้งจานหมาลัย ทั้งพวกนักวิชาเกิน “พวกเราชนะแน่…ประตูล้มเจ้าบานแรกเปิดแล้ว”
ขย่มเมืองกันใหญ่ ไปถึงขึ้น “วางตัว-แบ่งตำแหน่ง” กันแล้วด้วยซ้ำ
พลัน “เทวดาแดง” กลับมา…
ปรากฎว่าพวก “ส้มรักพ่อ” กลับปล่อยให้ “ส้มสองใบของพ่อ” เหี่ยวห่อโตงเตง!
ปรากฎการณ์ ที่พวก “ไร้ประสบการณ์” ไม่คิดว่าจะเกิดกับขบวนการกัดกร่อนบ่อนเซาะจะมาเร็วขนาดนี้
แต่มันก็ “ปรากฏจริง” ขึ้นแล้ว
“ประตูบานแรก” ที่เปิดแล้ว มันคือ “ประตูนรก” ของขบวนการ “ส้มหยุด” โปรดสำนึกใส่กะโหลกกันไว้
ว่าที่แท้…ถูกเขาหลอกใช้เป็น “ใบเบิกทาง” เพื่อสร้างเงื่อนไขให้กับบางคนที่เก๋าเกมกว่ามีแต้มเล่นเท่านั้น!
การที่ประธานวันนอร์ ไม่บรรจุร่างกฎหมายแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ตั้งสสร.เขียนใหม่ เข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา เพราะศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้แล้วว่า
การทำแบบนั้น เท่ากับเป็นการล้มรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
ถ้าจะทำ ต้องไปทำ “ประชามติ” ถามประชาชนก่อนว่า จะเอาหรือไม่เอา ทำให้ก้าวไกลโกรธ ฟาดงวง-ฟาดงาเมื่อวานนั้น
และที่สุด ด้วยมติเสียงข้างมาก ให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องเดิมอีกครั้ง ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญในประเด็นนี้ ก่อนทำประชามติได้หรือไม่?
ชัยธวัช ไม่พอใจ สำแดงโวหาร “อวดตัว” จน “เกินตัว” ในเรื่องนี้ ว่า
“…….เราตีความอำนาจของตัวเองได้ โดยไม่ต้องไปขออนุญาตใคร เมื่อไม่มีเหตุจำเป็นต้องไปถามศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องที่เรามีอำนาจอยู่แล้ว
พวกผมไม่สนับสนุนให้ยื่นคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ
ที่ผ่านมา การยื่นคำร้องให้ศาลวินิจฉัยหลายครั้ง กลายเป็นการเปิดช่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอำนาจของตนเอง
บางครั้งก็ตีความรัฐธรรมนูญ เกินบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และปัจจุบัน ศาลรัฐธรรมนูญกลายเป็นผู้ผูกขาดตีความแต่เพียงผู้เดียวไปแล้ว
ศาลรัฐธรรมนูญกำลังกลายเป็นรัฐธรรมนูญเสียเอง วินิจฉัยอย่างไรก็ได้ แล้วอ้างว่าคำวินจฉัยผูกพันทุกองค์กร บีบให้สถาบันทางการเมืองอื่นสยบยอม ยอมจำนนกันหมด
หากพวกเรายังมีส่วนร่วมในการสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองแบบนี้ต่อไป ในอนาคตระบอบการเมืองของเราที่ควรอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ปกครองด้วยรัฐธรรมนูญ
จะกลายเป็นระบอบการเมืองที่ปกครองด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ….”
………………..
ชัยธวัช … “รู้ว่าเขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก” นั่นยังดี ที่โง่ด้วยใจภักดี
แต่ “เขาหลอกก็ยังไม่รู้ตัว”
แบบนี้ แม้ “ตายยกคอก” ก็เป็นได้แค่ “ปีศาจงมงาย”
จะเป็น “ควายพระอินทร์” ก็ยังยาก!
เปลว สีเงิน
๓๐ มีนาคม ๒๕๖๗