เปลว สีเงิน
ก็บอกแล้วไง ว่าเมื่อ “ราหูเข้าภพวินาศของดวงเมือง”
พวก “จัญไรเมือง”
ในระบบรัฐ-ระบบราษฎร์-ระบบการเมือง “กินเมือง” ที่กัดแทะบ้านเมือง สูบเลือด-กินเนื้อ เอารัด-เอาเปรียบประชาชน
และที่ คิดคด ทรยศ-กบฎชาติ
เมื่อดาวพฤหัสบดี “เทพเจ้าแห่งคุณธรรม-ความถูกต้อง” เข้าประทับดวงเมือง และเริ่มมีกำลังกล้าแข็ง
จะส่งผล ๒ ประการ ซึ่งจะได้เห็นแน่
๑.กระบวนการยุติธรรม จะฟันพวกจัญไรเมืองขาดสองท่อน
๒.”ปฎิวัติ” คือรื้อ-ล้างความเหลวแหลกในระบบรัฐและระบบทรราชย์ในบ้านเมืองจะเกิดขึ้น
โดย “ไม่ล้มล้าง” ระบอบประชาธิปไตย ระบบรัฐสภา!
ถามว่า จะเห็นผลชัดเมื่อไหร่ ก็ตอบได้ว่า
รัฐบาลเขาสับปลับสัญญาซ้ำซากว่า “ไตรมาส ๔ แจกแน่ เงินดิจิทัล ๑ หมื่นบาท”
ผมก็ขอบอกว่า ก่อนไตรมาส ๔ คือ “ก่อนเดือนตุลา.” ได้เห็นแน่ “ปฎิวัติรูปแบบใหม่” คือปฎิวัติโดยไม่ปฎิวัติ!?
เมื่อวาน (๒๖ มีนา.๕๖) ข่าวคราวประเภท “ขมวดขั้วสู่การประชุมเพลิง” ประดัง-ประเด
ก็นี่แหละ ทั้งหลาย-ทั้งปวง มันเริ่มขมวดปม สู่เงื่อนไขว่าถึงเวลา “ต้องล้างบาง-จัดระบบ” สังคมบ้านเมืองกันขนานใหญ่แล้ว
ก่อนที่ “ตัวเขมือบเมือง” ที่ฟื้นคืนชีพ กับพวกกังฉิน-กินเมือง มันจะไปรวมกันเป็น ขบวนการรพช. (รวมพวกชั่ว) เป็นกองโจรในคราบการเมือง มีกำลังกล้าแข็ง
และกำเริบเสิบสาน เจือสมอำนาจ แผ่อิทธิพลบารมีเหนือระบบบริหาร, ระบบรัฐสภา และระบบตุลาการ
ถึงตอนนั้น ไม่แค่บ้านเมือง “ประเทศ” ก็จะเป็นของมัน!
ประเด็นแรก ขอถามก่อน
“นายกฯเศรษฐา” ทั้งในฐานะผู้นำบริหารและในฐานะ ผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ท่านจะจัดการยังไง…
กับ “ระเบิดพลีชีพ” ที่ทนาย “ษิทรา เบี้ยบังเกิด” พุ่งใส่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวาน?
โจรในเครื่องแบบผู้รักษากฎหมาย ตายเกลื่อนสตช.
ตั้งแต่ ผบ.ตร.ที่ชื่อ “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ยัน นายดาบ-นายสิบ ในระบบส่วย “บัญชีม้า”
“สตช.” ย่อจาก “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ตอนนี้ ทั้งบิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก ทำให้กลายเป็น “สำนักงานโจรในคราบตำรวจแห่งชาติ” เบ็ดเสร็จ!
ในเมื่อทนายษิทรา เอาชีวิตเป็นเดิมพัน ระบุหน้า-ระบุชื่อ คนเก็บสารพัดส่วยส่งตำรวจเป็นชั้นๆ จนถึงผบ.ตร.เช่นนี้
หรือผู้นำบริหารจะบอกว่า “อยู่สุขเถิดปวงประชา เลือกเศรษฐา จะทำให้ตำรวจเป็นเศรษฐี”?
หรือรอไปถามนักโทษก่อนว่า ท่านหัวหน้าคอกจะสั่งให้ทำยังไง?
เรื่องนี้ ถ้า “ทำลอยตัว” เหมือนปล่อยให้นักโทษเทวดาอยู่เหนือกฎหมายบ้านเมืองละก็
ฉิบหายไปด้วยกัน “ทั้งรัฐบาล-ทั้งสตช.” บอกไม่เชื่อ!
เอ้า…ไปดูเรื่องอื่นบ้าง
เรื่องทักษิณฟ้องชวนข้อหา “หมิ่นประมาท” กรณีอดีตนายฯ ชวนไปบรรยายที่โรงเรียนการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี ๕๕ ความตอนหนึ่งว่า
“สําหรับปัญหาใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ปัจจุบัน เป็นเพราะนโยบายของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ประกาศว่า
จะแก้ไขปัญหาใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้หมดภายใน ๓ เดือนนั้น ทั้งที่ขณะนั้น ไฟใต้มอดแล้ว ในสมัยที่ผมเป็น นายกรัฐมนตรี
แต่เมื่อ นายทักษิณ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี กลับใช้คำว่า “โจรกระจอก”
และยกเลิกศูนย์อำนวยการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) หันมาใช้นโยบาย “ฆ่าหมดก็จบ” ตรงนี้คือ ที่มาของการนองเลือดในปัจจุบันนี้…”
เมื่อวาน ศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดฟังคำตัดสิน หลังศาลตัดสินแล้ว อดีตนายกฯชวน ให้สัมภาษณ์นักข่าว ว่า
“ศาลยกฟ้อง” ด้วยเหตุผลว่า….
เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ในฐานะที่จำเลย คือผมเป็นนักการเมือง เป็นนายกฯ และมีสิทธิ์ที่จะวิพากษ์วิจารณ์ในเหตุการณ์ที่ได้ประสบมา
เนื่องจากในสำนวนได้มีการสืบพยานที่มาของคำพูด เช่น การฆ่าตัดตอน การฆ่าทิ้ง ฯลฯ โดยมีอดีตรองแม่ทัพภาคที่ ๔ มาเบิกความให้
อดีตนายกฯ ชวนบอกว่า อดีตรองแม่ทัพภาคที่ ๔ เป็นคนเดียวในวันประชุมวันที่ ๘ เมย.๔๔ ที่นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ และไปประชุม
อันเกิดจากวันที่ ๗ เม.ย.มีระเบิดที่สถานีรถไฟหาดใหญ่ และวันที่ ๘ คือวันที่ให้นโยบายว่า
“คนร้ายมีไม่เกิน ๑๗-๑๘ คน คนที่เป็นหัวโจก จัดการเดือนละ ๑๐ คน สองเดือนก็หมด” รองแม่ทัพภาคที่ ๔ ได้มายืนยันความหมาย
หลังจากนั้น ปัญหาภาคใต้ ก็ได้เกิดขึ้นจากนโยบายดังกล่าว ในที่สุด ก็ได้ส่งตำรวจเข้าไป เพราะเชื่อว่าตำรวจทำได้
ซึ่งรองแม่ทัพภาคที่ ๔ ได้บันทึกถ้อยคำไว้ โดยในวันที่ได้มาเบิกความนั้น เป็นคนหนึ่งที่กล้ามาเบิกความ
และเป็นคนเดียวในวันนั้น ที่กล้าติในทำนองไม่เห็นด้วย ซึ่งหากเชื่อท่าน ภาคใต้เราไม่นองเลือดอย่างทุกวันนี้
ผลจากวันนั้น คือที่มาของเหตุการณ์ ๔ ม.ค.๔๗ คือวันที่มีการปล้นปืนได้ไป ๔๐๐ กว่ากระบอก นี่คือที่มาของเหตุร้าย
ที่ผ่านมามีประชาชนเสียชีวิตไปกว่า ๕,๗๐๐ คน ผลจากความผิดพลาดของนโยบาย ซึ่งทางนายทักษิณก็เคยยอมรับว่าผิดพลาดจริงๆ
ศาลจึงเห็นว่า ผมในฐานะนักการเมือง มีประสบการณ์เรื่องนี้ และในสำนวนระบุว่า
ผมได้ไปเห็นด้วยตัวเองในเรื่องนี้ที่จังหวัดปัตตานี ซึ่งได้มีการนัดสืบพยานทั้งหมด
ศาลจึงเห็นว่าผมมีสิทธิ์ที่จะให้ความเห็นวิพากษ์วิจารณ์ได้”
………………………
เป็นไงล่ะ..ทักษิณ “ฆ่าหมดก็จบ”
เมื่อความจริงจะจะในศาลอย่างนี้ ตัวเองเอะอะก็อาศัยกฎหมายจัดการคนอื่น
แต่พอตัวเองถูกกฎหมายจัดการ กลับตะโกน “ศาลยุติที่ไม่เป็นธรรม”
ส.ต.แท้ๆ!
เมื่อวานอีกเช่นกัน นักโทษป่วยขั้นวิกฤต เหมือนเสือติดปีกออกจากกรง เริ่มสยายเขี้ยว ออกแผ่บารมีต่อสาธารณชน
ไปตรวจราชการเชียงใหม่ ไปตัดผมสีลม ไปพรรคเพื่อไทย ให้สมาชิกพรรค ให้รัฐมนตรี “ทิ้งงาน” เข้ากราบทักโทษ
มีคนข้องใจว่า แบบนี้ เข้าข่ายครอบงำพรรคหรือไม่?
ทั้งนายกฯ ทั้งภูมิธรรม ใครต่อใคร ต่างบอก ไปเยี่ยม ไม่ได้ไปสั่งการอะไรในพรรค ถ้าจะสั่ง สั่งนอกพรรคก็ได้ จะต้องไปสั่งถึงในพรรคให้โง่ทำไม ประมาณนั้น
“สั่ง-ไม่สั่ง” ก็ลองฟังที่ “นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รัฐมนตรีคมนาคม ตอบนักข่าวที่ถามว่าจะไปพบทักษิณที่พรรคหรือไม่ก็ได้ ซึ่งนายสุริยะตอบว่า
“ผมเข้าไปแน่นอน และทราบสส.จำนวนมากจะเข้าไปยังพรรคเพื่อไทยและคงมากกว่าทุกๆ ครั้ง
เพราะทั้งสส.อดีตสส.และผู้สมัครสส.เพื่อไทย อยากต้อนรับนายทักษิณด้วยความอบอุ่น เพราะท่านถือเป็นสัญลักษณ์ความสำเร็จของพรรค
ผมเคยทำงานร่วมกับนายทักษิณตั้งแต่สมัยพรรคไทยทักไทย ในสมัยที่นายทักษิณเป็นหัวหน้าพรรค และผมเป็นเลขาธิการพรรค
นายทักษิณให้นโยบายต่างๆทำให้กระทรวงคมนาคมมีผลงานที่โดดเด่น
เช่น การสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ที่เสร็จตามกำหนดเวลา และกลายเป็นสนามบิน อันดับต้นๆ ของโลก
จึงคิดว่าหากมีโอกาส ในส่วนของกระทรวงคมนาคม ก็จะขอคำปรึกษาจากท่าน
ว่า “จะทำอย่างไร ในการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิให้กลับมาติดอันดับโลก”
ผมคิดว่า สิ่งที่นายทักษิณทำ ประชาชนรุ่นใหม่ ที่อายุน้อย อาจไม่ทราบถึงผลสำเร็จ ที่ท่านเคยทำ
แต่ผู้สื่อข่าวคงจำได้ว่า นายทักษิณเคยชำระหนี้ไอเอ็มเอฟในยุควิกฤตต้มยำกุ้งได้ก่อนเวลา ซึ่งถือเป็นผลงานที่จับต้องได้
ประสบการณ์เหล่านี้ ถือเป็นสิ่งสำคัญ ที่เราต้องเรียนรู้และนำมาปรับใช้”
ครอบงำหรือไม่ครอบงำล่ะ ในเมื่อรัฐมนตรีสุริยะบอกโต้งๆ
จะไปขอคำปรึกษาจากนักโทษว่า “จะทำอย่างไรในการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิให้กลับมาติดอันดับโลก”!?
สุริยะนี่ ลิ้นกระดาษทราย น้ำลายชแล็คเหมือนกันนะ
สนามบินสุวรรณภูมิน่ะ ทุเรศมั้ย…สุริยะ ที่เอามาเคลมเป็นผลงานทักษิณ?
แต่ละรัฐบาลสร้างกันต่อเนื่องมา ทักษิณเป็นรัฐบาลก็สานต่อขั้นตอนสุดท้าย มันก็เท่านั้น
เหมือนหลายๆ โครงการที่รัฐบาลประยุทธ์สร้างไว้ เช่น รถไฟฟ้า เป็นต้น เสร็จพร้อมวิ่งตอนเศรษฐามาเป็นนายกฯ
ก็ยิ้มร่าไปทำพิธีเปิด…….
ตีขลุมเป็นผลงานกู เป็นรัฐบาลปุ๊บ มีผลงานปั๊บ!
ที่เป็นผลงานดังสนั่นเมืองของทักษิณ-สุริยะ เกี่ยวกับสนามบินสุวรรณภูมิ
นั่นมันเรื่อง “สินบนข้ามชาติ” ที่ซื้อเครื่องตรวจจับระเบิด CTX 900 และการก่อสร้างระบบสายพานลำเลียงกระเป๋าในสนามบิน นั่นตะหาก
อีกเรื่อง แต่ ๒ ประเด็น ที่สุริยะเคลม คือเรื่องทักษิณชำระหนี้ IMFได้ก่อนเวลาและเรื่อง “ในยุควิกฤตต้มยำกุ้ง”
ขอบใจนะ..ที่ยกเรื่องนี้มาเฉาฉุ่ย พรุ่งนี้ ผมจะนำทั้ง ๒ เรื่องนั้นมา
“ถลกหนังเสือ” ให้เห็น “เนื้อหมา” กันจะจะไปเลย!
เปลว สีเงิน
๒๗ มีนาคม ๒๕๖๗