หน่วยเฉพาะกิจพญานาคราช เปิดหลักฐานใหม่ชิ้นสำคัญ ซึ่งเชื่อมโยงไปยังขบวนการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนที่ยังไม่หมดไปจากสังคม ภายหลังการตั้ง War Room ของกรมประมงและกรมปศุสัตว์ พบความผิดปกติจนสามารถสาวไปยังต้นตอได้ และบ่ายนี้เตรียมเดินทางไปยื่นหนังสือกับผู้แทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางต่อไป
นายธนดล สุวัณณะฤทธิ์ รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจพญานาคราช และโฆษกหน่วยเฉพาะกิจพญานาคราช เปิดเผยถึงความก้าวหน้าการดำเนินงานของหน่วยเฉพาะกิจพญานาคราช ร่วมกับนายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง นายสมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ นายชัยวัฒน์ โยธคล ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจพญานาคราช และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุม 115 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า“ตามนโยบายของร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ได้ประกาศสงครามปราบปรามสินค้าเกษตรผิดกฎหมาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อเกษตรกรและเศรษฐกิจ
ในภาพรวมของประเทศเป็นอย่างมาก โดยได้แต่งตั้ง “หน่วยเฉพาะกิจพญานาคราช”มีการบูรณาการหลายหน่วยงาน ประกอบด้วย กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมวิชาการเกษตร กรมประมง และกรมปศุสัตว์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนนโยบายปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรผิดกฎหมาย ทั้งสินค้าพืช ประมง และปศุสัตว์ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งที่ผ่านมา “หน่วยเฉพาะกิจพญานาคราช” ได้ดำเนินการอย่างจริงจังและเห็นผลเป็นรูปธรรม
ทั้งการสุ่มตรวจห้องเย็น การเร่งรัดติดตาม การตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ โดยเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการโดยเฉพาะ ซึ่งขยายผลนำไปสู่การดำเนินคดี โดยมุ่งเป้าถอนรากถอนโคนขบวนการดังกล่าวให้สิ้นซาก ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้มีบัญชาว่าหากพบเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิด ให้คณะกรรมการระดับกระทรวงและระดับกรมที่ได้รับ การแต่งตั้งดำเนินการตรวจสอบทันที ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบเอกสารและเตรียมเรียกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาสอบสวนต่อไป”
ด้าน นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมงกล่าวว่า หลังจากมีการดำเนินคดีกับผู้ประกอบการที่ลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรเถื่อน จำนวน 161 ตู้คอนเทนเนอร์ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้ลงพื้นที่สุ่มตรวจตู้คอนเทนเนอร์จำนวน 21 ตู้ ที่เป็นสินค้าตกค้าง
ณ สำนักงานศุลกากรแหมฉบัง พบว่า 1 ใน 21 ตู้ที่สุ่มตรวจมีสินค้าภายในตู้ไม่ตรงตามที่ผู้นำเข้าได้ขออนุญาตไว้ตอนนำเข้าเป็นชิ้นส่วนหมูปะปนมากับสินค้าประมงภายในตู้คอนเทนเนอร์เดียวกัน ทำให้เกิดข้อสงสัยกรณีการขออนุญาตนำเข้าสินค้าประมงในลักษณะเดียวกัน หน่วยเฉพาะกิจพญานาคจึงได้มอบหมายให้กรมประมงจัดตั้ง War Room ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบเอกสารจากกรมประมง และกรมปศุสัตว์ ร่วมกันดำเนินการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงในเชิงลึก กว่า 1 สัปดาห์ ในการสุ่มตรวจสอบเอกสารประกอบการยื่นขออนุญาตนำเข้าสินค้าประมง ในช่วงปี 2564-2566 โดยเริ่มสุ่มตรวจสอบเอกสารขออนุญาตนำเข้าสินค้าประมงของผู้นำเข้าที่ถูกดำเนินคดี ผลปรากฏว่าพบการยื่นเอกสารประกอบการขออนุญาตนำเข้าสัตว์น้ำ มีการใช้เอกสารรับรองสุขอนามัยสัตว์ ซึ่งมีข้อความไม่ตรงตามข้อเท็จจริง ทำให้เชื่อได้ว่าเป็นเอกสารที่มีการปลอมแปลงเพื่อหลบเลี่ยงเจ้าหน้าที่ในการขออนุญาตนำเข้า
นายธนดล กล่าวทิ้งท้ายว่าจากการดำเนินงานของหน่วยเฉพาะกิจพญานาคราช ได้พบการกระทำความผิดที่เชื่อมโยงกับขบวนการหมูเถื่อน ขณะนี้พบมีการปลอมแปลงในลักษณะดังกล่าวแล้วจำนวน 20 ฉบับ จากผู้นำเข้า 3 ราย และอยู่ระหว่างการดำเนินการเพิ่มเติม ซึ่งมีความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ตามมาตรา 137 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน มาตรา 14 (2) แห่งพระราชบัญญัติ ว่าด้วย การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และมาตรา 264 ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้ใดกรอกข้อความลงในแผ่นกระดาษหรือวัตถุอื่นใด ซึ่งมีลายมือชื่อของผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอม หรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งของผู้อื่นนั้น ถ้าได้กระทำเพื่อนำเอาเอกสารนั้นไปใช้ในกิจการที่อาจเกิดเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชน ให้ถือว่าผู้นั้นปลอมเอกสาร
ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
มาตรา 268 ผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตามมาตรา 264 มาตรา 265 มาตรา 266 หรือมาตรา 267 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ
ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคแรกเป็นผู้ปลอมเอกสารนั้น หรือเป็นผู้แจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความนั้นเองให้ลงโทษตามมาตรานี้แต่กระทงเดียว
โดยในช่วงบ่ายวันนี้ หน่วยเฉพาะกิจพญานาคราชเตรียมเดินทางไปยื่นหนังสือกับผู้แทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ณ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางต่อไป