ผักกาดหอม
นานวันก็ยิ่งเห็น
นายกฯ เศรษฐา มีวุฒิภาวะการเป็นผู้นำประเทศค่อนข้างต่ำ
เริ่มบ่อยครั้งมากขึ้นที่พูดแล้วต้องแก้คำพูดตัวเองตามทีหลัง
กรณี ผู้ว่าแบงก์ชาติ ก็เช่นกัน
การโพสต์ผ่านโซเชียล เมื่อคืนวันที่ ๗ มกราคม ที่ผ่านมา ถือว่าผ่านการไตร่ตรองอย่างดีแล้ว เพราะโดยปกติคนทั่วไป การเขียนมักจะรอบคอบรัดกุมกว่าการพูด
ฉะนั้นข้อความที่ปรากฏ นายกฯ เศรษฐา ตำหนิผู้ว่าแบงก์ชาติ “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” จึงถือว่าไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว
“…จากการที่แบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ยทั้งๆ ที่เงินเฟ้อติดลบติดต่อกันหลายๆ เดือนนั้น ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจเลย และยังมีผลกระทบต่อประชาชนที่มีรายได้น้อย และ SME อีกด้วย ผมจึงอยากให้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เข้าไปดูราคาสินค้าเกษตรบางชนิดให้เหมาะสม เพราะอาจจะต่ำไปก็ได้ และหวังว่า แบงก์ชาติจะช่วยดูแลประชาชนไม่ขึ้นดอกเบี้ยสวนทางกับเงินเฟ้อนะครับ…”
แล้วตอกย้ำหลังจากนั้นด้วยการให้สัมภาษณ์ไปในทิศทางเดียวกันในวันถัดมา
“…เรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ย จุดยืนของตนก็ชัดเจนว่า ผมไม่เห็นด้วย แต่ท่าน (แบงก์ชาติ) ก็มีอำนาจในการขึ้น ซึ่งนัยที่ผมได้โพสต์ข้อความไปเมื่อคืนนี้ มันเกี่ยวกับเรื่องสินค้าการเกษตร พืชผลต่างๆ ที่ผมอยากให้กระทรวงพาณิชย์ดูแลไม่ให้ต่ำลงไป เพราะถ้าต่ำเกินไปก็จะลำบาก…”
นักข่าวถาม การขึ้นดอกเบี้ยอยู่ในสถานการณ์เงินเฟ้อที่ต่ำมาก นายกรัฐมนตรีมีความกังวลอย่างไรบ้าง คำตอบคือ “ต่ำมากครับ ดังนั้นอาจจะต้องพิจารณาเรื่องการลดดอกเบี้ย ผมก็ฝากไว้”
“ต่ำมาก น้อยมาก ต่ำกว่า Minimun อีก พิจารณาเรื่องลดอัตราดอกเบี้ย ก็ฝากไว้”
นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีสิทธิ์ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของแบงก์ชาติ
แต่ไม่มีสิทธิ์ใช้ประชาชนมาข่มขู่ให้ต้องตัดสินใจตามที่รัฐบาลต้องการ
มาวานนี้ (๑๐ มกราคม) ผู้ว่าเศรษฐพุฒิ เข้าพบ นายกฯ เศรษฐา ที่ทำเนียบรัฐบาล
จากนั้น นายกฯ เศรษฐา ให้สัมภาษณ์
“…ผมไม่มีอำนาจในการไปก้าวก่ายท่าน เพราะแบงก์ชาติก็เป็นองค์กรที่เป็นอิสระ พูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผล ไม่ได้ไปสั่งหรืออะไร เพียงแค่อธิบายเหตุผลให้ฟังในเรื่องของเศรษฐกิจโดยรวม ในแง่ของเหตุการณ์ต่างประเทศ สถานการณ์ของเงินเฟ้อทั้งหมด ก็พยายามพูดคุยกัน…”
นักข่าวถาม เงินเฟ้อติดลบ ทางผู้ว่าฯ ธปท.ให้ความเห็นอย่างไรบ้าง
คำตอบคือ “…เดี๋ยวให้ทางแบงก์ชาติเป็นคนแถลงเองดีกว่า ผมให้เกียรติท่าน เราพูดคุยกันเกี่ยวกับหัวข้อใหญ่ๆ มากกว่า…”
“…ผมคิดว่าแนวโน้มที่ดีอยู่ที่ใครมองอย่างไร อะไรคือแนวโน้มที่ดี แนวโน้มที่ดีคือ ต้องมีการพูดคุยกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน…”
นี่ก็หลังเท้าเป็นหน้ามือ
คงเพราะได้ข้อมูลที่แท้จริงจาก ผู้ว่าแบงก์ชาตินั่นเอง
ตามตำรา ระบุความสัมพันธ์ระหว่างดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ เอาไว้ว่า ในยามที่เศรษฐกิจร้อนแรง คนต้องการบริโภคและลงทุนเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการปรับสูงขึ้น
แต่ถ้ารายได้ยังคงเดิม จะทำให้คนซื้อของได้น้อยลงและกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่
แบงก์ชาติ มีหน้าที่หลักในการดูแลเสถียรภาพด้านราคา โดยใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงิน
เมื่อเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ต้องมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อส่งสัญญาณให้ธนาคารพาณิชย์รู้ว่าแบงก์ชาติ ต้องการให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินปรับสูงขึ้น
แบงก์ชาติ จะดูดซับสภาพคล่องหรือดูดเงินออกจากระบบการเงินเพื่อให้ภาวะการเงินตึงตัว
ดังนั้น ธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งจะต้องเพิ่มสภาพคล่องของตนเอง โดยการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากให้สูงขึ้นเพื่อระดมเงินฝากมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ก็ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามต้นทุนเงินฝากที่สูงขึ้น
การที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูงขึ้นจะจูงใจให้คนมาฝากเงินมากขึ้นและใช้จ่ายน้อยลง
ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้นก็ทำให้คนกู้เงินน้อยลง เมื่อความต้องการสินค้าและบริการลดลง จะส่งผลให้ระดับราคาสินค้าลดลง และชะลอเงินเฟ้อ
กลับกัน หากเศรษฐกิจซบเซา ประชาชนไม่อยากใช้จ่าย ราคาสินค้าและบริการปรับลดลง ทำให้ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงจะทำให้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของธนาคารพาณิชย์ลดลงเช่นกัน ซึ่งเป็นแรงจูงใจให้คนบริโภคและลงทุนมากขึ้น
เมื่อความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มสูงขึ้น จะส่งผลให้ระดับราคาปรับสูงขึ้นตามไปด้วย
แล้วทำไมคราวนี้ผู้ว่าแบงก์ชาติถึงตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ย แทนที่จะลด
ล่าสุดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพิ่มอีก ๐.๒๕%
ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ ๒.๒๕% สูงสุดในรอบ ๙ ปี
แบงก์ชาติดูเศรษฐกิจเชื่อมโยงทั้งโลก
แต่นักการเมืองมักมองขาเดียวคือ เศรษฐกิจชาวบ้านเพื่อเอาใจประชาชน มีวัตถุประสงค์ด้านคะแนนเสียงเป็นหลัก
ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นรอง
ปัญหาเศรษฐกิจส่วนใหญ่จึกมักมาจาก การตัดสินใจของนักการเมือง โดยอ้างว่าทำเพื่อประชาชน
สุดท้ายนำมาซึ่งความผิดพลาด
แล้วข้อมูลอะไรที่ ผู้ว่าแบงก์ชาติ แจกแจงแล้ว ทำให้นายกฯ มีความรู้ความเข้าใจในสถานการณ์เศรษฐกิจภาพรวมมากขึ้น
หลายครั้งในประวัติศาสตร์โลก การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ไม่อาจแก้ตามตำราได้
ต้องพลิกแพลง เพราะมีปัจจัยอยู่เหนือการควบคุมมากมาย
หากพูดเรื่องอัตราดอกเบี้ย ก็ต้องพูดอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก
ต้องดูว่าฝั่งยุโรป อเมริกา เขาไปถึงไหนแล้ว
โดยเฉพาะอเมริกา
ปีที่แล้ว อเมริกา ปรับอัตราดอกเบี้ยจาก ๐.๒๕% หลายครั้งจนมาอยู่ที่ ๕.๕%
สูงสุดในรอบ ๒๒ ปี
ส่วนไทยอยู่ที่ ๒.๒๕%
หากไทยปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามสูตร ลองคิดดูว่าระยะห่างของดอกเบี้ยระหว่างไทยกับอเมริกา ที่จะห่างไปเรื่อยๆ จะเกิดอะไรขึ้น
เอาง่ายๆ แบงก์ ก.ให้ดอกเบี้ย ๕.๕% แบงก์ ข.ให้ดอกเบี้ย ๒.๒๕% คนจะแห่ไปฝากแบงก์ไหน
แบงก์ ข.เจ๊งครับ
เลือดไหลหมดตัว
เงินไปแบงก์ ก.หมด
แต่เรากำลังพูดถึงประเทศ
เงินไหลออกมากๆ คือหายนะทางเศรษฐกิจไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ค่าเงินก็จะมีปัญหาตามมา
ดอลลาร์แข็งเอาๆ ส่วนบาทก็รูดลงเรื่อยๆ
ลองคิดดูครับ เงินสกุลดอลลาร์แข็งโดยตัวมันเองอยู่แล้ว หากช่องว่างระหว่างดอกเบี้ยยิ่งห่างขึ้นเรื่อยๆ เงินบาทจะไปเหลืออะไร
สินค้านำเข้า โดยเฉพาะน้ำมันจะแพงขึ้น
ทีนี้เงินเฟ้อหนักกว่าเดิม
คิดว่านายกฯ เศรษฐา คงเข้าใจ
และคงจะคิดได้เพิ่มเติมว่า เงิน ๕ แสนล้านที่จะกู้นั้น มีความหมายต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ มากกว่าเอาไปแจกประชาชนแล้วหายวับไปกับตา
แต่ถ้ายังคิดอะไรไม่ได้ ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง
รอเผาอย่างเดียว