“กู้นั้น…ไม่สำคัญเท่า”?-เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

ใครคือ “บรรพบุรษนักการเมืองไทย” รู้มั้ย?
ก็ “ศรีธนญชัย” นั่นไง
ก็ดูซี รัฐบาลเพื่อไทย อยากจะกู้ “๕ แสนล้าน” มาแจก ก็แถกเหงือกทุกทางเพื่อจะกู้ให้ได้
ค้านกันมาก เห็นท่าไม่ดี ก็ไปถามกฤษฎีกาว่าทำได้มั้ย?

เงียบไปพัก ๓-๔ วัน ก่อนกฤษฎีกาตอบกลับมา
ทั้งนายกฯ ทั้งนายจุลพันธุ์ รมช.คลัง ตอบนักข่าวแบบปริศนาอักษรไขว้ ให้จับประเด็นไปพาดกบาลข่าวว่า
กฤษฎีกา “ไฟเขียว” ว่าทำได้!

รุ่งเช้า “คุณปกรณ์ นิลประพันธ์” เลขากฤษฎีกาบอก…
“กฤษฎีกาไม่ใช่ตำรวจจราจร ที่จะมาเปิดไฟเขียว-ไฟแดงให้รัฐบาลกู้เงิน ๕ แสนล้านบาทนะ แค่ให้ความเห็นข้อกฎหมายเท่านั้น ถ้าทำตามเงื่อนไข การันตีว่าปลอดภัย”

ก็ “คุณพระช่วยกล้วยทอด” ไปเท่านั้น!

ในความเป็นจริง มันก็ใช่ ตามมรรยาท รัฐบาลเป็นผู้ถาม กฤษฎีกาผู้ตอบ เมื่อตอบ ก็ต้องตอบกับรัฐบาล

ส่วนตอบว่าไง ……
รัฐบาลที่มาจากประชาชนเลือกตั้งนั่นแหละ ควรบอกตรงๆ ชัดๆ กับชาวบ้าน ว่าตั้งประเด็นเป็นคำถามอย่างไร ให้กฤษฎีกาตอบ?

และกฤษฎีกาตอบในประเด็นคำถามนั้นว่าอย่างไร?
เพราะทั้งคำถาม-คำตอบ “มันเกี่ยวพันผลได้-ผลเสียกับภาษีชาวบ้านโดยตรง แต่รัฐบาลกลับปกปิด

แล้วมีหน้าตะโกน “รัฐบาลประชาธิปไตยเลือกตั้ง”
“มะเหงกประชาธิปไตย” น่ะซี!

ผมว่ากฤษฎีกาตอนนี้คงเกาหัวแกรก ว่านักการเมืองไทยนี่ มันโคตรปลาไหลไฟฟ้าจริงๆ
ไม่มีช่อง-มีรูให้ไป เจอรูจมูก-รูทวารก็ยังเถลือกไถลชอนไชจะไปมันด้านๆอย่างนั้นแหละ!

กฤษฎีกาบอก ทำตามกรอบกฎหมาย การันตีว่าปลอดภัย
“พรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ” มาตรา ๕๓ บอกว่า

“การกู้เงินของรัฐบาล นอกเหนือจากที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย ว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ
ให้กระทรวงการคลังกระทําได้ ก็แต่โดยอาศัยอํานาจตามกฎหมายที่ตราขึ้นเป็นการเฉพาะ

และเฉพาะกรณีที่มีความจําเป็นที่จะต้องดําเนินการโดยเร่งด่วนและอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศ โดยไม่อาจตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปีได้ทัน”

เนี่ย…เป็นกฎหมายด้วย “ภาษาไทย” พื้นบ้านชัดๆ ขนาดนี้ ถึงเรียน-ไม่เรียนกฎหมาย ขอเป็นคน ก็ต้องเข้าใจว่าการจะกู้ได้นั้น

ก็เฉพาะกรณี………
“ที่มีความจําเป็นที่จะต้องดําเนินการโดยเร่งด่วนและอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศ โดยไม่อาจตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปีได้ทัน”

แต่นักการเมืองสายพันธุ์ศรีธนญชัย ทำเป็นเหมือนถูกหัวแม่ตีนตำตา ไม่รู้..ไม่เห็น..ไม่เข้าใจ
ว่าแบบไหน-แค่ไหน-อย่างไร ที่จะบอกว่า “วิกฤตหรือไม่วิกฤต?

เออ…เอากะมันซี กูยอมแพ้!
ก็คงต้องส่งเรื่องให้ศาลโลก ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลศรีธนญชัย และบัณฑิตยสภา ตีความ-วิเคราะห์คำ-กำหนดกรอบ ว่าแค่ไหน อะไร แบบไหน ที่เรียกว่าวิกฤต?

รอซัก ๕-๑๐ ปี นะ แฟนๆ เงินแจก ๑ หมื่น
รอให้แต่ละศาลวินิจฉัยกำหนดกรอบคำว่า “วิกฤต” ส่งมาให้รัฐบาลเพื่อไทยก่อน

ถึงตอนนั้น ถ้ายังไม่อดตายและประเทศไทยยังบริหารด้วยรัฐบาล “เศรษฐา-เพื่อไทย” หรือ “อุ๊งอิ๊ง-เพื่อไทย”
หรือ “อนุทิน-ภูมิใจไทย” หรือ “พีระพันธุ์-รวมไทยสร้างชาติ” หรือ”วราวุธ-ชาติไทยพัฒนา”

นั่นค่อยว่ากัน ทบต้น-ทบดอกเงิน ๑ หมื่นตอนนั้นอีกที

แต่ตอนนี้ ถ้าอยากรู้ล่วงหน้า ว่าต้องรอถึงรัฐบาลไหน? ต้องไปถามอาจารย์ภิญโญ พงศ์เจริญ หรือไม่ก็ แม่หมอฟองสนาน จามรจันทร์ พอจะได้เค้าความ!

ถ้าถามผม ตอบได้เลย….
อยากรวย ต้องแบบปลวก ขยันทำมาหากิน อยากสบาย ไปเป็นจิ้งหรีด กรีดปีกกินน้ำค้างยอดหญ้า รอคนมาจับไปทอด

แต่รัฐบาล “ประชาชน ๑๔ ล้าน” เลือกมา
กลับไม่รู้เลยว่า อะไร-แบบไหน คือ “วิกฤตประเทศ”!?

เพราะอย่างนี้ “พระสยามเทวาธิราช” จึงต้องเป็นที่พึ่ง-ที่ยึดเหนี่ยวของคนไทย-ประเทศไทยตลอดไป
ตราบเท่าที่ระบอบประชาธิปไตยเลือกตั้ง ยังดำรงคงอยู่คู่สังคม “คนตาบอดไม่กลัวเสือ”!

ผมคงไม่เทศน์เรื่อง “คำว่าวิกฤต” เพราะมองหน้าธรรมาสน์แล้ว ไม่มีคนติดกัณฑ์เทศน์เลยซักบาท

ดูๆ แล้วก็น่าขำ….
ตอนเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน สร้างแพทเทิร์นวาทกรรมให้ลูกพรรคไว้ด่า “รัฐบาลประยุทธ์”

๙ ปี ทำประเทศล้าหลัง ทำประเทศล่มจม-ล้มเหลว ชาวบ้านจะอดตายกันหมดแล้ว รัฐบาลดีแต่กู้

ต้องให้พรรคเพื่อไทยซึ่ง “คิดใหญ่-ทำเป็น” มีบุคลากรเชี่ยวชาญทุกสาขาเข้ามาบริหารกอบกู้ประเทศ ประชาชนพ้นความยากจนแน่นอน

ก็เข้ามาบริหารเข้าเดือนที่ ๔ ที่ ๕ แล้วนี่ไง

ทั้งคิดใหญ่-ทำเป็น ทั้งมีบุคลากรเชี่ยวชาญทุกสาขาเข้ามาแทรกล้นทุกกระทรวง

แล้วประเทศยังวิกฤตถึงขั้นต้องกู้มาแจกอยู่อีกหรือ?
แสดงว่า ที่พูดไว้ตอนเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ก็คือโม้ใช่มั้ย ถ้าดีจริง-เก่งจริง ตามที่พูด มันต้องพ้นวิกฤตแล้ว
ไม่ต้องกู้มาแจกให้ชาวบ้านกินเพื่อขี้ไปวันๆเปิดช่องให้นักการเมืองเบียดบังโกงไปแต่ละวันอย่างนี้

ถ้าจะกู้ “เพื่อชาติ” จริงๆ ละก็ บอกประชาชนไปเลยว่า
ที่วิกฤตต่อเนื่องขณะนี้ คือ….
“วิกฤตคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ไทย”

ทั้งด้านจิตสำนึกและด้านพัฒนาการทางองค์ความรู้ที่ต้องทุ่มสรรพกำลังพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพมนุษย์พันธุ์ไทย ตั้งแต่ฐานรากขึ้นไปเลยทีเดียว”

ไม่งั้น ที่มักน้อย GDP ปีละ ๓-๕% ตอนนี้ อีก ๕-๑๐ ปีข้างหน้า ถ้าไม่สร้างความเจ็บปวดร่วมกันให้มนุษย์พันธุ์ไทยรุ่นใหม่ได้ลิ้มรสร่วมกัน

มันยากที่จะสร้างจุดทะยานเพื่อเอา “ชาติให้ชนะ” ๕-๘%ต่อปีได้
เพราะ “รัฐบาลมักง่าย”

“ภาคสังคม” จึงติดสบายจนเป็นนิสัยประจำชาติไปแล้ว

รัฐบาล เอะอะแจก เอะอะอุ้ม
จนคนไม่รู้ว่า ความมุมานะ-พยายาม,การใฝ่รู้-ใฝ่ศึกษาวิทยาการ, การลองผิด-ลองถูก การสู้กับอุปสรรค-ปัญหา นั่นคือกุญแจไปสู่ประตูรวย?

รู้อย่างเดียว…
ถ้าไม่รอแจก ก็เข้าชื่อ “เดินขบวน-เรียกร้อง”

แล้วนักการเมืองเลือกตั้ง ก็ตั้งงบ-ตั้งโครงการ เอาเงินมาให้กู้ ด้วยค่านิยมว่า “เงินหลวง-โกงได้”
ใครกู้แล้วใช้ ไอ้คนนั้น มันคนโง่!?

นี่…อย่ามัวไปโทษ-ไปเถียง กับผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ให้ทุเรศ ในเรื่องดอกเบี้ย เรื่องเงินเฟ้อ-ไม่เฟ้อ ให้ทุเรศเลย
เพราะนั่นคือ “ผลร้าย” ปัจจุบัน ที่เกิดจาก “เหตุเลว” สะสม

ดอกเบี้ย-เงินเฟ้อ-ไม่เฟ้อ มันปลายเหตุ การแก้ มันต้องไปแก้ที่ตนเหตุ คือ นโยบายและกึ๋นผู้นำบริหารรัฐบาลนั่นตะหาก

“เรือรบ” ขนาดใหญ่
กลับลำที ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง ไม่เหมือนเรือเข็ม วาดพายวืดเดียว หัวเรือหันกลับได้แล้ว

“ประเทศ” ก็เหมือนเรือรบ จะปรับทิศ-ปรับทาง นำประเทศเปลี่ยนผ่านแต่ละยุคสมัย
ต้องตั้งเข็มทิศให้ตรง หมุนพวงมาลัยให้ครบรอบ

ที่สำคัญ ต้องใช้เวลา ใช้ประสบการณ์และวิสัยทัศน์ ปัญหานั้น ทุกปัญหา มันเรื่องขี้หมา
ที่เหนือขี้หมามีเรื่องเดียว คือเรื่อง “บริหาร-พัฒนา” คน!

เรื่องแจก มันเรื่องทำลายทั้งคน-ทั้งสังคม
ไม่ใช่การพัฒนาชาติ-พัฒนาสังคม การให้คนลำบากด้วยงาน ด้วยการฝึกฝนสร้างประสบการณ์ด้วยตัวเขาเอง

นั่นแหละคือการ “สร้างทรัพยากรบุคคล” ให้ชาติ

รัฐบาลเพื่อไทย อย่าหาว่าผมอคติ หากแต่พูดจากพฤติกรรม
เข้ามา “รีบเก็บ-รีบโกย”

ก็จะทำแต่นโยบาย “เพาะถั่วงอกในโอ่ง” โรยเย็น เช้าพรึ่บเต็มปากโอ่ง!

เห็นว่าเมื่อวานนายกฯ คุยกับผู้ว่าฯ แบงก์ชาติแล้ว ความจริง นายกฯ เป็นนักธุรกิจระดับแสนล้าน ความรู้เศรษฐกิจพื้นฐานต้องรู้

ฉะนั้น ความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างระบบเศรษฐกิจ เหมือนคลำช้าง จับหาง-ก็ช้าง จับงวง-ก็ช้าง

แต่นั่น มันแต่ละองคาพยพช้าง ถ้าบอกว่านั่นคือช้าง มันก็ไม่ผิด แต่มันไม่ใช่

และประเทศ ในความเป็น “เศรษฐกิจภาพรวม” จะมองเฉพาะเมื่อวาน-วันนี้ แล้วสรุปเป็น “พรุ่งนี้” แค่นั้น มันก็ไม่ได้

เศรษฐกิจ “การค้า-การลงทุน” ก่อนตัดสินใจลงทุน เขาวิเคราะห์บนฐานอนาคต ๕-๑๐ ปี ด้านทรัพยกรบุคคลและโครงสร้างพื้นฐานเป็นอันดับแรก

ดังนั้น ฐานคิดท่าน กับฐานคิดผู้ว่าฯแบงก์ชาติ เป้าหมาย อาจตรงกัน แต่ทางเดินไปสู่เป้าหมาย อาจต่างกัน

นายกฯ เศรษฐา ผมเข้าใจ ท่านคือเพชร
แต่ท่านก็ต้องรู้ เพชรนั้น เมื่อคู่กับพลอย
ก็แค่ “เพชรล้อมพลอย”

หรือท่านเคยเห็นใครเอา “พลอยไปล้อมเพชร” บ้าง?

เปลว สีเงิน
๑๑ มกราคม ๒๕๖๗

Written By
More from plew
ด้วย “รู้เช่น-เห็นชาติ” ธนาธร
“เพนกวิน-รุ้ง-ไมค์-อานนท์” วันนี้คึก เขาน่าจะรู้… คึกวันนี้ แต่คุกพรุ่งนี้! เพราะเขาไม่ใช่เด็กแล้ว เป็นทนาย เป็นนักศึกษาปริญญาตรี-โท ยกเว้นนายไมค์
Read More
0 replies on ““กู้นั้น…ไม่สำคัญเท่า”?-เปลว สีเงิน”