สัพพี “ส่งท้าย” ปี ๒๕๖๖ – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

ไปกันหมด….
กรุงเทพฯ หลวม จนรู้สึกเหงา ว่าเราถูกทิ้งอยู่คนเดียว!
แต่ความจริง “แอบยิ้ม”
ดี..ดี..ไปกันหมด ถนนเมืองกรุงจะได้พักหายใจ หลังจากถูกมอไซค์ยันรถบรรทุก ๒๐-๓๐ ล้อ รุมบดขยี้บี้ทับทั้งวัน-ทั้งคืน

เรียกว่าสาหัสกว่าทาสตีนตบปี ๕๒-๕๓, ทาส ๓ นิ้ว ปี ๖๓-๖๔ ซึ่งตอนนี้ กำลังทยอยเป็น “ศิลปินเดี่ยว” หน้าบัลลังก์
ในขณะที่ “ไอ้ตี๋หัวตั้ง” กับ “ศาสดาจอมเพี้ยน”
“หลบมุม” จิบไวน์ อึกละ ๓,๑๑๒ บาท

วางแผนส่งคนแทรกซึมเข้าทุกองค์กรที่มีการเลือกตั้งในทุกระดับ “ทั่วประเทศ”
ตาม “ยุทธศาสตร์มอด”
“หลบใน-ไชชอน-กัดเนื้อไม้-วางไข่-ขยายพันธุ์”

กว่าเจ้าของบ้านจะรู้ตัวและไหวทัน มันก็พรุนไปทั้งหลัง “รอพัง” แล้ว!

โอเค.ผมยอมรับได้ ไม่ว่าสังคมไหน ในความเป็นคนที่เท่ากัน ใครฉลาดและล้ำลึกว่า คนนั้นก็ชนะไป

ใครเขลาและตื้นเขินกว่า คนนั้นก็เทียมแอกขี้ข้าเขยื้อนตีนใต้ความคิดเขาไป!

“พุทธศาสน์” เป็นศาสน์ผู้มีปัญญาเท่านั้นที่เข้าถึง
คนไทย “ส่วนใหญ่” เป็นพุทธ

แต่เนื้อแท้ เป็น “พุทธ” ในสำมโนครัว มากต่อมาก!
เหตุนั้น “เลือกตั้ง” จะเป็น “ประชาธิปไตยที่กินได้” ในสังคมไทยไปอีกนาน

จึงไม่ต้องสงสัย-แปลกใจว่า “คนที่ประชาชนเลือกมา” ไม่ว่าระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ ทำไมจึงได้คนอย่างนี้ ประวัติอย่างนี้มาบริหารประเทศตลอดกาล?

เช่น ยิ่งลักษณ์, ชัชชาติ, เศรษฐา ต่อไปก็อาจ ธนาธร, ปิยบุตร, พรรณิการ์, อมรัตน์, พิธา, อุ๊งอิ๊ง กระทั่ง รักชนก และท่านโอ๊กอ๊าก

งามพร้อมทุกคน ในเมื่อประชาชนเลือกมา

เพราะเราต้องเข้าใจ ในระบอบประชาธิปไตยเลือกตั้ง
“คุณภาพคนได้รับเลือกตั้ง สะท้อนคุณภาพคนเลือกตั้ง”

ดังนั้น “คนเลือก” กับ “คนได้รับเลือก”
คือดัชนีบ่งบอก “คุณภาพประเทศ”!

เหตุนั้น ไม่ต้องตอบใช่มั้ย ว่าปัจจุบัน ณ วันนี้ คุณภาพประเทศไทย อยู่ระดับไหน?
ก็ระดับ “ปลวกขยายพันธุ์” นั่นแหละ!

การเรียกร้องประชาธิปไตย อ้างประชาธิปไตย ยึดเลือกตั้งเป็นสัญญาประชาธิปไตย เพราะเขาเหล่านั้น “ศรัทธา-เข้าถึงประชาธิปไตย” มิใช่หรือ?

ไม่ใช่หรอก
ในสังคมใต้กะโหลกอับชื้นไม่รับแสงส่อง ปลวกชอบหยอดไข่-ขยายพันธุ์ “ประชาธิปไตยเดมากอก”

“ประชาธิปไตยเดมากอก” คือ “ประชาธิปไตยรวมแก๊งลากไป”
ในขณะที่พวกนิยม “ประชาธิปไตยกินได้” ยึดหลัก “เงินไม่มา-กาไม่เป็น”

ก็เป็นช่องให้พวก “ประชาธิปไตยเดมากอก” ที่รวมตัวเป็นขบวนการ “แม้ไม่มาก” แต่มากกว่า “พวกที่มากแต่ไม่ออกไปใช้สิทธ์”

แล้วพวกเดมากอกที่ “น้อยแต่มาก” ก็จะชนะไป
และอ้างว่า “ประชาชนส่วนใหญ่เลือกผมมา”

สังเกตได้ว่า ตอนนี้ ทุกอย่างจะลากไปลงระบบ “เลือกตั้ง” กระทั่งจะให้เลือก “ผู้ว่าราชการแต่ละจังหวัด”
เพราะกลุ่มคนที่ฉลาดและล้ำลึกกว่า เห็นช่องแล้วว่า ในสังคมที่ฉลาดแค่ไถมือถือ

อะไรที่ “เลวสุดขั้ว-ชั่วสุดขีด” จะยึดครองพื้นที่สมองกลวงและได้รับการยอมรับว่าเท่ เป็นของใหม่ทางความคิดที่สังคมเปิดรับ

ขนาด “ป้าแต๋น-ลุงพล” สื่อโทรทัศน์ทุกช่อง ยังแย่งกันเสนอข่าวดังด้อยจรรยาคิด ครอบงำสังคมชาติ เป็นธุรกิจสร้างรายได้น่าอัปยศ

เมื่อกระเทาะเปลือกเห็นแก่นสังคมชาติอย่างนี้แล้ว แปลกตรงไหน ที่จะมีขบวนการ “สามนิ้วล่มชาติ-ล้มสถาบัน”?

หลายประเทศในอาเซียน-เอเชียที่ “ล้มแล้วลุก” ในขณะที่ไทยเรา “ลุกไม่เคยล้ม”
เรา “ลุก” แต่ไม่เคย “ยืน” ได้ซักที

ในขณะที่ประเทศที่เขาล้ม อย่างเกาหลีใต้, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, เวียดนาม เขาเคยล้มชนิดพังราบมาก่อน

แล้วเขาแปลงความเจ็บปวดร่วมกันของคนในชาติเป็นพลัง ร่วมแรง-ร่วมใจ-ร่วมเสียสละ “รวมศรัทธา” ในความเป็นชาติ
“สร้างประเทศที่พังราบขึ้นมาใหม่”!

ย้อนกลับไปเมื่อ ๖๐ ปี ประเทศเหล่านั้นคือ “นรกบนดิน” ในขณะที่ไทยคือ “สวรรค์บนชั้นฟ้า”

แล้วย้อนมาวันนี้ ประเทศเหล่านั้น ด้วยพลังเจ็บปวดร่วมกัน เขาช่วยกัน “พลิกนรกเป็นสวรรค์”

ส่วนของเรา ประเทศก้าวไปอีกขั้นสู่ “สวรรค์ของการคอร์รัปชัน” และการรับจ้างนอกชาติ “ล่มบ้าน-ล้มสถาบัน”!

แถมเกิด “สวรรค์บนดิน” ขึ้นกลางกรุง
เรียกว่า “วิมาน รอยัล สวีท” ชั้น ๑๔ เป็นที่สถิตของ “นักโทษเทวดา ณ ชินวัตร”

เป็นประชาธิปไตย “น้ำวน” ในกระถางน้ำล้างเท้าอย่างนั้นจริงๆ มาค่อนศตวรรษแล้ว

ดำปี๋ เต็มไปด้วยไอ้ตัวร้อยขา สังคมเขลาก็ยังกรอกใส่ขวดไปกิน-ดื่ม-บูชา บอกว่า…นี่เป็นน้ำประชาธิไปไตย กินก็ได้..ล่มชาติก็ได้ ขลังที่สุด!?

เออ…ดี
ในหมู่คนเขลา มีเขลามากกว่า ยุคลุงตู่ สีเขียวตลอดสาย ๕๙ บาท ว่าแพงไป แต่ตอนนี้ ตั้ง ๒ มค.๖๗ เป็นต้นไป
“๖๒ บาท” รับได้ ไม่แพ๊ง..ไม่แพง

เพราะ “ชัชชาติ-เศรษฐา” คือประชาธิปไตย “คุณภาพประเทศ” ที่เลือกกันมากะมือ?!

วันนี้ นิ้วพาจิ้มแป้นคอมพ์ตรงไหน ผมก็ไปตามเรื่อยเปื่อย อย่าถือสากันนะ

ช่วงนี้ ผมอาจคุยคนเดียว-อ่านคนเดียว ก็เป็นได้ เพราะท่านคงไปปีไหม่ไหนต่อไหนกันแล้ว

เห็นข่าวว่า สายเอเชียไปเหนือ สายมิตรภาพไปอีสาน รถเป็นตะขาบเลื้อยตามกันไปยาวเป็น ๑๐-๒๐ กิโลเมตร

ไม่เป็นไรหรอก ขาไปน่ะ อะไรๆ มันก็สนุกทั้งนั้น ยิ่งช้า-ยิ่งปลอดภัย ช้าหน่อย แต่ถึงจุดหมายปลายทางแน่ ดีที่สุด
ไปเร็ว แล้วลงข้างทาง ไม่เอานะครับ…ไม่เอา!

ผมเห็นในโซเชียล มีบางคนโพสต์……
จะไม่แวะเติมน้ำมัน ไม่เข้าห้องน้ำปั้มยี่ห้อนั้น-นี้ นัยว่าเติมน้ำมันไม่เต็มลิตร

โถ..แวะเถอะนะ ไม่เติม ไม่มีใครว่า แต่ถ้าไม่ฉี่ แล้วจะว่าผมไม่เตือน อั้นไว้ในนานๆ น้ำกระเพาะปัสสาวะไปเบียดทับไต
เรื่องง่ายๆ ตัวเองนั่นแหละ ทำให้มันยาก

มันจะเจ็บปวดทรมาน ถึงตายเอาได้ง่ายๆ ขอร้อง…อย่าประชดด้วยวิธีนี้ ขอบอก

เรื่องน้ำมัน “ไม่เต็มลิตร” นั่นน่ะ ผมเคยเจอมาก่อน และสงสัยเหมือนกัน สอบถามผู้รู้ เขาบอก ไม่ใช่เพราะเขาเติมไม่เต็มลิตรหรอก

เขาอธิบายว่า ส่วนใหญ่ เติมน้ำมันปุ๊บ จะสั่งเด็ก “เต็มถัง” เด็กก็เอาหัวจ่ายมาจ่อกดปล่อยน้ำมัน เราก็นั่งดูตัวเลข ว่ากี่บาท-กี่ลิตรแล้ว

เวลาจะเต็มถัง สมมติ ๙๙๘ บาท พออ ๙๙๐ เด็กจะกดทีละจิ๊ก..จิ๊ก..จนถึง ๑,๐๐๐ บาท ก็หยุด ปิดฝาถังน้ำมันที่รถ

ถ้าสังเกต จะเห็นว่าตัวเลขจำนวนน้ำมัน เขาบันทึกจากต้นทาง คือจากถังใต้ดินสู่ตัวมิเตอร์บันทึกจำนวนไปสู่สายหัวจ่าย
นั่นคือ น้ำมันที่เติมลงถังรถ

กับน้ำมันที่ส่งผ่านมิเตอร์สู่สายจ่าย มันจะมีส่วนต่างกันอยู่ เรียกว่า “น้ำมันค้างสาย”

เพราะที่จ่ายมาจากถังต้นทางมันครบลิตร แต่พอเดินมาตามสายหัวจ่าย ขณะกดจ่าย น้ำมันก็ไหลเรื่อยๆ
พอกดหยุด เพราะเต็มถัง น้ำมันที่ออกมาแล้ว ส่วนหนึ่ง มันก็ค้างอยู่ในสาย
มันก็เลยเป็นเรื่อง “น้ำมันไม่ครบลิตร”!

ทีหลัง ผมเลยแก้ปัญหา เรารู้นี่ว่า รถเราเต็มถังกี่ลิตร สมมุติ ๒๐ ลิตร จากที่เคย “เต็มถัง” ก็บอกว่า “๑๕ ลิตร”

ทีนี้แหละ ๑๕ ลิตร เป็น ๑๕ ลิตร
เพราะ ๑๕ ลิตรเป๊ะ เด็กก็หยุด ถังยังพร่อง จึงไม่มีจิ๊ก..จิ๊ก..แบบคะยั้นคะยอให้เต็มที่ละบาท-สองบาทอีก

ก็เล่าประสบการณ์ให้ฟัง เชื่อ-ไม่เชื่อ ไม่ว่ากัน เพราะผมก็ไม่เคยเอาเครื่องไปวัดตอนเติมน้ำมันแต่ละครั้งซักที

เพียงคิดตามทฤษฎี “กาลักน้ำ” ตอนน้ำมันรถหมดกลางทาง ดูดจากอีกคันไปเติมอีกคัน มันไหลเองแล้ว ตอนหยุด มันจะเหลือส่วนหนึ่งค้างอยู่ในสาย

ปั้มน้ำมันยุคนี้ การขายน้ำมัน มันกลายเป็นเรื่องธุรกิจบริการไปแล้ว เพราะกำไรแทบจะไม่มี

อย่างปั้มปตท.OR เขาขายอาหาร ขายกาแฟอเมซอน บริการความสะดวกสบาย ขายสินค้าชุมชน ปีๆ กำไรมากกว่าขายน้ำมัน

เรื่องน้ำมันปั้ม ถ้าจะโกง มันโกงยาก ไม่คุ้ม เพราะทางการมีมาตรการควบคุม-ตรวจสอบยิบ
ถึงได้เป็นร้อยล้าน-พันล้าน ก็ไม่คุ้มที่ต้องเสี่ยงกับการเสียชื่อ-เสียความเชื่อถือ

เพราะกว่าจะสร้างชื่อ-สร้างแบรนด์มาได้ เขาต้องใช้เงินระดับแสนๆ ล้าน

พรุ่งนี้ ๓๑ ธันวา “ส่งท่ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่” ขอส่งวันนี้เลยนะครับ
แล้วพบกันใหม่ปีหน้า ๒๕๖๗ ปู๊น..ปู๊น!

เปลว สีเงิน

๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๖

Written By
More from plew
“เพื่อไทย” นี่ “เพื่อใคร” -เปลว สีเงิน
คลิกฟังบทความ..⬇️ เปลว สีเงิน “ขึงขัง-จังจริง-ฉับไว” ต้องยกให้ “เศรษฐา” นายกฯ “คิดใหญ่-ทำเป็น” ของพรรคเพื่อไทย หนึ่งเดียวคนนี้! วานซืน บอกจะตั้ง
Read More
0 replies on “สัพพี “ส่งท้าย” ปี ๒๕๖๖ – เปลว สีเงิน”