ผักกาดหอม
การมีสื่อโซเชียลมันดีอย่างนี้นี่เอง
ใครเคยทำอะไรไว้ สามารถขุดมาดูได้อย่างรวดเร็ว ราวกับร่ายมนตร์
วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ของทุกปี ซึ่งก็ผ่านมาแล้ว เป็นวันที่ องค์การสหประชาชาติ ประกาศให้เป็น “วันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล”
ที่มันเป็นประเด็นขึ้นมาก็เพราะวันเดียวกันนี้เมื่อปีที่แล้ว พรรคก้าวไกล รณรงค์ใหญ่โต ว่าสังคมไทยต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน!
สาเหตุเพราะ ๘ ปีรัฐบาลประยุทธ์ ความรุนแรงต่อผู้หญิงและครอบครัว เพิ่มขึ้นติด TOP 10 ของโลก
พรรคก้าวไกล ประโคมว่า ความรุนแรงต่อผู้หญิงและครอบครัวพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ สื่อ/เพจดังต่างๆ พึ่งได้มากกว่าเจ้าหน้าที่รัฐ
กระบวนการช่วยเหลือยังไม่เอื้อให้เหยื่อแจ้งเหตุ ทัศนคติและกฎหมายยังมีปัญหา
นั่นคือปี ๒๕๖๕
มาปี ๒๕๖๖ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน เหมือนกัน
เงียบกริบ!
บุคลากรของพรรคก้าวไกลที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ เพราะเป็นผู้ยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชน หลักสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค และความเท่าเทียม หายหัวหมด!
ไม่โผล่มารณรงค์ยุติความรุนแรงในสตรีแม้แต่คนเดียว
หรือพรรคก้าวไกลเลิกสนใจความรุนแรงต่อสตรีแล้ว
หรือกลัวว่าจะไปตอกย้ำข่าวฉาวคุกคามสตรีโดย สส.และอดีต สส.พรรค เป็นการสะกิดแผลให้เลือดพุ่งออกมาอีก
ถ้าเป็นไปตามตรรกะนี้ไม่ฉิบหายหรือครับ
วันข้างหน้าอาจมีสมาชิกพรรคก้าวไกลไปละเมิดเด็กและเยาวชน มิต้องงดทำกิจกรรมทุกอย่างในวันเด็กหรือ?
ปีที่แล้ว “ณัฐวุฒิ บัวประทุม” เป็นรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล มาปีนี้รับหน้าที่ ประธานคณะกรรมการวินัยและจรรยาบรรณสมาชิกพรรค ได้รีดอุดมการณ์ต่อต้านความรุนแรงต่อสตรี ไปรวบรวมข้อมูลมาตีแผ่ให้ประชาชนได้รับรู้
รู้แล้วก็น่าตกใจทีเดียวครับ!
ไปดูข้อมูลที่ “ณัฐวุฒิ บัวประทุม” นำเสนอเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ปีที่แล้วกันครับ
—————————-
จากข้อมูลสถานการณ์ความรุนแรงต่อผู้หญิงและบุคคลในครอบครัว ของคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่าสถานการณ์ความรุนแรงเพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๓๔.๖ ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นร้อยละ ๔๒.๒ ในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ทั้งความรุนแรงต่อจิตใจ ร่างกายและทางเพศ
สอดคล้องกับข้อมูลความรุนแรงต่อเด็กและผู้หญิงพิการ พ.ศ. ๒๕๖๔ มูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคมและสมาคมส่งเสริมศักยภาพสตรีพิการ พบว่า “ผู้หญิงไทยถูกกระทำความรุนแรงไม่น้อยกว่า ๗ คนต่อวัน” สอดคล้องกับข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรมที่พบว่าผู้หญิงไทยไม่ต่ำกว่า ๗๕% เคยถูกคุกคามทางเพศ
ไม่ว่าข้อมูลด้านใด บ่งชี้ว่าความรุนแรงต่อผู้หญิงในประเทศไทย ติด ๑ ใน ๑๐ ของโลก
ยังไม่นับข้อมูลที่ไม่อาจสำรวจได้ หรือกรณีที่ผู้หญิงไม่กล้าเปิดเผยการถูกกระทำความรุนแรง ที่หลายครั้งนำไปสู่การบาดเจ็บ การทำร้ายตนเอง การฆ่าตัวตาย และการถูกฆ่าตายในที่สุด
นับเป็นความสูญเสียที่ควรจะระงับเหตุได้ หากมีช่องทางหรือกระบวนการช่วยเหลือที่เอื้อต่อผู้หญิงที่ถูกกระทำแต่ต้น
พรรคก้าวไกลมองว่าปัจจัยสำคัญคือมายาคติเรื่องชายเป็นใหญ่ ยิ่งหากเป็นความรุนแรงระหว่างคู่ที่ใช้ชีวิตร่วมกัน ที่ผู้ชายยังมักเห็นว่าตนเองมีสิทธิเหนือหญิงที่เป็นคู่ของตน รวมถึงครอบครัว ชุมชน และสถาบันทางสังคม ที่มองว่าความรุนแรงเป็นเรื่องส่วนตัว
นี่ทำให้ความรุนแรงแฝงซ่อนอยู่ในพื้นที่ของครอบครัวจำนวนมาก ดังที่เราจะเห็นได้จากการรายงานของสื่อมวลชนไทยรายวัน
แม้ในรอบปีที่ผ่านมามีหลายกรณี ที่คนในสังคมลุกขึ้นมาช่วยผู้หญิงที่ถูกกระทำความรุนแรงมากขึ้น อันถือเป็นนิมิตหมายที่ดี รวมถึงเมื่อผู้หญิงประสงค์ขอความช่วยเหลือ แต่กลับถูกปฏิเสธจาก จนท.ของรัฐ ซึ่งมีหลายเรื่องที่ร้องมายังพรรค ร้องมาที่สภาฯ หรือร้องไปที่มูลนิธิหรือเพจดังต่างๆ ที่ช่วยเหลือประชาชน
อีกทั้งไม่มีระบบกระบวนการยุติธรรมหรือกระบวนการทางสังคมที่จะปกป้องฟื้นฟูผู้หญิงอย่างเพียงพอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระบบแก้ไขพฤติกรรมการกระทำความรุนแรงของผู้กระทำ และแทบจะไม่ต้องพูดถึงเด็กที่ถูกกระทำความรุนแรงที่ไม่อาจร้องขอความช่วยเหลือด้วยตนเองได้
พรรคก้าวไกลจึงได้เสนอ ๔ แนวทาง ที่สังคมนี้ควรจะเดินไปเพื่อผู้หญิง เด็ก และคนทุกเพศได้รับการปกป้องจากปัญหาความรุนแรง
๑.ต้องเร่งปรับกระบวนการศึกษา และกระบวนการหล่อหลอมทางสังคมในทุกระดับ โดยเริ่มจากการสร้างทัศนคติที่เคารพสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคน มองว่า “คนเท่ากัน”
๒.ปรับระบบการรับแจ้งเหตุที่เป็นมิตรต่อผู้หญิง
๓.ปรับแก้กฎหมายและกระบวนการช่วยเหลือ ที่ถูกใช้มาเป็นระยะเวลานาน และมีปัญหาอุปสรรคในการบังคับใช้
๔.ผลักดันและดำเนินนโยบายด้านสวัสดิการที่ทำให้ผู้หญิงสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี
แทนที่เราจะแก้ปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงด้วยการ “ติดริบบิ้นสีขาว” ในเดือนพฤศจิกายนเพียงอย่างเดียว แต่ความรุนแรงต่อผู้หญิงกลับมีแต่เพิ่มขึ้น
พรรคก้าวไกลเรียกร้องให้รัฐบาลต้องแก้ปัญหาทั้งระบบ ทั้งเรื่องพลังอำนาจและสวัสดิการของผู้หญิง เรื่องการลดมายาคติและปรับเปลี่ยนทัศนคติที่เคารพสิทธิและความเสมอภาคระหว่างเพศ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และเมื่อเกิดเหตุแล้ว ต้องทำให้ระบบการรับแจ้งเหตุเป็นระบบที่ทำให้ผู้หญิงที่ถูกกระทำความรุนแรงกล้าที่จะเดินเข้าหาและเชื่อมั่นว่าจะช่วยเหลือเขาได้จริงๆ
แบบนี้ต่างหาก ที่จะนำไปสู่การลดความรุนแรงต่อผู้หญิงและรวมถึงเด็กได้ในระยะยาว
—————————————
ครับ…สวยหรู
แต่หนึ่งปีผ่านไป จากหน้ามือเป็นหลังตีน
สิ่งที่ “ณัฐวุฒิ บัวประทุม” นำเสนอคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในพรรคก้าวไกลปี ๒๕๖๖
ปีที่ สส.ก้าวไกลร่วม ๒๐ คนไม่ยอมโหวตให้ สส.คุกคามทางเพศพ้นพรรค ก่อนที่จะแก้ตัวใหม่ไล่ออกจากพรรคในที่สุด
แต่จนถึงบัดนี้ไม่มีการเปิดเผยว่า ๒๐ สส.ที่เห็นดีเห็นงามกับ สส.คุกคามทางเพศนั้นมีใครบ้าง
หนำซ้ำเลิกพูดเรื่องนี้เพราะสันหลังหวะ
แก้ปัญหาด้วยการ “ติดริบบิ้นสีขาว” ไปเถอะครับ
อย่างน้อยดีกว่า สร้างภาพสวยหรู แต่ภายในเน่าสนิท
จากนี้ไปพรรคก้าวไกลคงจะสู้เพื่อยุติความรุนแรงในสตรีไม่ได้อีกแล้ว เพราะจะมีคำถามย้อน ให้กลับไปกวาดบ้านตัวเองให้สะอาดเสียก่อนดีกว่ามั้ย
ยังไม่นับตั้งผัวตั้งเมียเป็นผู้ช่วย สส.กินเงินเดือนจากภาษีกู
ส่วนเรื่องเปลี่ยนประเทศเอาไว้หาเสียงขำๆ
เปลี่ยนพวกเดียวกันให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาว่ากัน