เปลว สีเงิน
ฟัง “นายภูมิธรรม เวชยชัย”……
ในบท “รักษาการนายกฯ” ชักแม่น้ำทั้ง ๕ สาธยายให้นักข่าวและคนฟังเคลิ้มกับการแจกเงินดิจิทัล ๕ แสนล้าน เมื่อวาน (๑๔ พย.๖๖) แล้ว
อดเป็น “มดยิ้ม” ไม่ได้!
แต่สงสัยอยู่นิด “สหายใหญ่” มีศิลปะพูดโน้มน้าวและจูงใจคนเก่งอย่างนี้ ตอนหาเสียงชิงตำแหน่งนายกสโมสรนิสิตจุฬาฯ ก่อน ๖ ตุลา.๑๙
ทำไมถึงแพ้ “นายวีระกร คำประกอบ” ได้ล่ะ?
ผมมาพินิจคำตอบเชิง “รำพึง-รำพัน” กับนักข่าวเมื่อวานแต่ดูแล้ว เดาคำตอบพอได้
เหตุที่แพ้ เพราะท่านพูดแบบ “หลังอิงประชาชน เท้ายันประชาธิปไตย” ดูมั่นคง ลีลาภาษาไหลเรื่อย แต่ละคำสวยหรู-ฟังรื่น ก็จริง
คือพูดเก่ง ฟังได้เรื่อยๆ แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก
แต่ถ้าคิดตาม หวัง “เอาสาระ” จะสะดุดทันที
เพราะที่เรื่อยไหลนั้น นอกจาก “ย้อนแย้ง” กันเองแล้ว ยังคล้าย “สะบัดหลังมือกลับ” ใส่หน้าตัวเองด้วยซ้ำ
เพราะตอนหาเสียง “พูดไว้อย่าง”
พอเป็นรัฐบาล “กลับทำไปอีกอย่าง” คิดอะไรไม่ออกก็อ้างประชาชน อ้างประชาธิปไตย
ถ้าเป็นการเมือง ๓๐-๔๐ ปีก่อน แบบนี้ละก็พอได้ เพราะทั้งคนพูด-คนฟัง “เข้าใจตรงกัน”
ว่า “หาเสียง” กับ “ทำได้” มันคนละเรื่องเดียวกัน ไม่มีใครถือเป็นสาระจริงจังกับมนุษย์พันธุ์ส.ส.
แต่เดี๋ยวนี้…ไม่ได้ เพราะมันเป็น ประชาธิปไตยยุค “ทีมึง-ทีกู”
ฉะนั้น ที่ท่านภูมิธรรมพูดเมื่อวาน เช่นว่า
“…..พรรคเพื่อไทยได้เสนอเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งเป็นสัญญาประชาคม
“…….ดังนั้น สิ่งที่พรรคเพื่อไทยกำลังทำในฐานะรัฐบาลหรือการทำ คือการทำตามเจตนารมย์ของประชาชน”
“……อยากให้วิพากษ์วิจารณ์โดยคำนึงถึงสองเรื่อง คือ “กระบวนการประชาธิปไตยที่จะต้องเดินหน้า” และเรื่อง “ต้องมองว่ากำลังวิกฤตเราจึงต้องเดินหน้า”
“…….ในทางปฏิบัติเรากำลังเร่งดำเนินการ แต่ก็มีขั้นตอนทางกฎหมาย ซึ่งก็มีคนบอกว่า “วิกฤตแล้วทำไมไม่ทำเลย”
เป็นการพูดแบบ “ไม่คำนึงถึงกระบวนการปฏิบัติที่เป็นจริง” พูดถึงแต่เอาอารมณ์ความรู้สึกความพึงพอใจส่วนตัวของตัวเอง
เพราะวันนี้ ถ้าเรากลับไปดูข้อมูลทางเศรษฐกิจจริงๆ เศรษฐกิจมันไม่ได้ดีอย่างที่หลายคนพูด
เศรษฐกิจติดลบ และลบกว่าทุกอย่างที่ผ่านมา โดยจะเห็นจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ต่ำลง…..”
“ผมว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลพยามแก้ปัญหา ฉะนั้นขอให้รอกระบวนการทั้งหมดเริ่มต้น
การเข้าสู่กระบวนการกู้เงิน เดิมทีเราไม่คิดจะกู้ แต่เมื่อมีข้อติดขัดและคิดว่าเราคิดว่าจะต้องกู้ เราก็คำนึงถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น
ผมอยากให้คนที่คัดค้านหรือพรรคการเมืองที่คัดค้านต้องเคารพในระบอบประชาธิปไตย เมื่อหาเสียงมาแล้วเราต้องเราต้องทำตามสิ่งที่สัญญาไว้กับประชาชน
ส่วนว่าถ้าทำแล้วไม่เป็นไปตามที่คิด ล้มเหลวหรือมีปัญหาอันนั้น…ค่อยว่ากันตามกระบวนการประชาธิปไตย”
ครับ….
ประเด็นแรก บอก แจก ๕.๖ แสนล้านบาท เป็น “สัญญาประชาคม” ตอนเพื่อไทยหาเสียง
ดังนั้น การแจก จึงเป็นการทำเจตนารมย์ประชาชน
ประเด็นที่สอง การวิพากษ์วิจารณ์ให้คำนึง ๒ เรื่อง ๑.”กระบวนการประชาธิปไตยที่จะต้องเดินหน้า”
๒.”ต้องมองว่า กำลังวิกฤต เราจึงต้องเดินหน้า”
ประเด็นที่สาม กับคนที่ถาม “วิกฤตแล้วทำไมไม่ทำเลย” คุณภูมิธรรมก็ย้อนว่า
“พูดเอาแต่อารมณ์ความรู้สึกความพึงพอใจส่วนตัว”
และอ้างข้อมูลทางเศรษฐกิจว่า “เศรษฐกิจมันติดลบ”
ประเด็นที่สี่ ซึ่งสำคัญมาก ท่านภูมิธรรมบอกว่า……
“เดิมทีเราไม่คิดจะกู้ แต่เมื่อมีข้อติดขัดและคิดว่าเราคิดว่าจะต้องกู้ …..
อยากให้คนที่คัดค้านหรือพรรคการเมืองที่คัดค้าน “ต้องเคารพในระบอบประชาธิปไตย”
ส่วนว่าถ้าทำแล้วไม่เป็นไปตามที่คิด ล้มเหลวหรือมีปัญหาอันนั้น “ค่อยว่ากันตามกระบวนการประชาธิปไตย”
เหล่านี้แหละ ผมฟังแล้ว ไม่ใช่จากความรู้สึก แต่จากข้อมูล มันชัดว่า สิ่งที่เป็นจริง กับสิ่งที่ท่านพูด และกับสิ่งที่พรรคท่านกำลังทำ
มันไม่ต่าง “สีขาว-ในสีดำ” และ “สีดำ-ในสีขาว”!
ผมก็ตอบไม่ถูก จากคำพูดท่านภูมิธรรมเมื่อวาน ถ้ามีตัวตนปรากฎเป็นรูปธรรม ขาวในดำ, ดำในขาว นั้น
จะเรียก “สีอะไร?”
การแจก ๕.๖ แสนล้านนั้น ใช่…เป็นสัญญาประชาคมของพรรคเพื่อไทยตอนหาเสียง
แต่แจกนั้น ไม่ใช่ “เจตนารมย์ประชาชน” หรอก
ท่านภูมิธรรมอย่าตีขลุม….
เลือกตั้งพฤษภา.๖๖ คนออกมาเลือกตั้งทั้งหมดกว่า ๓๙ ล้านคน
คนกว่า ๑๔ ล้านคน เลือกพรรคก้าวไกล ส.ส.เขต ๑๑๒ คน ปาร์ตี้ลิสต์ ๓๙ คน รวม ๑๕๑ คน
คนแค่ ๑๐ กว่าล้านเท่านั้น ที่เลือกเพื่อไทย ส.ส.เขต ๑๑๒ คน ปาร์ตี้ลิสต์ ๒๙ คน รวม ๑๔๑
ส่วนที่เหลือ กระจายเลือกตามพรรคต่างๆกันไป สรุปแล้ว ในจำนวนคนออกมาเลือกตั้งกว่า ๓๙ ล้านคน เลือกเพื่อไทยอันดับ ๒ แค่ ๑๐ กว่าล้านคน
ซึ่งเท่ากับว่า คนอีก ๒๘ ล้านคน เขาไม่ได้เลือกเพื่อไทย
นั่นคือ ประชาชนส่วนใหญ่ ต้องการให้ก้าวไกลเป็นรัฐบาล ไม่ใช่เพื่อไทย
แต่เมื่อเพื่อไทย “เก๋าเกมกว่า” ได้เป็นแกนตั้งรัฐบาลแทน สัญญาแจก ๕.๖ แสนล้านของเพื่อไทย
จึงไม่อยู่ในคำจำกัดความว่า “เจตนารมย์ของประชาชน”
เพราะคน “กว่า ๒๘ ล้านคน” ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ เขาไม่หื่นกระหายเลือก “เพื่อไทย” ด้วยหวังเงินแจก ๕.๖ แสนล้าน
ดังนั้น ที่ภูมิธรรมอ้าง การแจก ๕.๖ แสนล้าน “เป็นการทำตามเจตนารมย์ของประชาชน” จึงไม่ถูกและไม่ใช่
ที่เป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลได้….
เพราะเก่งในลีลา “หลอกกินขนมเด็ก” เท่านั้น!
ที่เตือนว่า การวิพากษ์-วิจารณ์ให้คำนึงถึง “กระบวนการประชาธิปไตยที่จะต้องเดินหน้า” และต้องมองว่า “กำลังวิกฤต เราจึงต้องเดินหน้า” นั้น
ก็วิพากษ์-วิจารณ์นี่แหละ “ตัวประชาธิปไตย” ที่ต้องเดินหน้าละ ตอนไม่ได้เป็นรัฐบาลยกตัวเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” วิพากษ์-วิจารณ์ “รัฐบาลพลเอกประยุทธ์” มาตลอด ๘-๙ ปี
อ้างว่า “นี่คือประชาธิไตย”
แล้วตอนนี้ พอคนวิจารณ์รัฐบาลเพื่อไทย ยังไม่ถึงเศษ ๑ ใน ๙๙๙,๙๙๙,๙๙๙ ล้านล้าน ที่เพื่อไทยจิกกบาลด่ารัฐบาลประยุทธ์เลย
ถึง “ครางอิ๋งๆ” เลยเชียวเรอะ?
และที่ว่า “กำลังวิกฤตจึงต้องเดินหน้า” นั่นน่ะ
ถ้าเศรษฐกิจบ้านเมืองมันถึงขั้นใช้คำว่า “วิกฤติ” จริงละก็มัวรออะไรอยู่ล่ะท่านภูมิธรรม
พรุ่งนี้ รัฐบาล “ออกพรก.กู้เงิน” ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาทไปเลยซี!
จะต้องรอออกพรบ.ให้ผ่านรัฐสภาตั้ง ๓-๖ วาระอยู่หาวิมานอะไร ซึ่งนานเป็นปี ถ้าวิกฤตจริง มันก็ฉิบหายป่นปี้ไม่ทันการณ์แล้ว…จริงมั้ย?
ก็เพราะมันไม่ถึงขั้นวิกฤตนั่นแหละ จึงเกาะกินไปเรื่อยๆ อีกอย่าง เพราะไม่กล้าออกพรก.เงินกู้ใช่มั้ยล่ะ?
ฉลาดนะ…เพื่อไทยนี่!
เพราะรู้ ออกพรก.ปุ๊บ ถือว่า “ความผิดสำเร็จแล้ว”
“คุก” ทันที เพราะอะไร เดี๋ยวจะบอก
จึงซื้อเวลา รอกลางปี วุฒิสภา “หมดอายุุ” รัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๗๒ ในบทเฉพาะกาล ก็เลิกใช้
“เศรษฐาไป-อุ๊งอิ๊งมา” เพราะโหวตเลือกนายกฯ หลังพฤษภา.ใช้แค่ ๕๐๐ สส.โหวตเท่านั้น ก็สะบึม!
ฉะนั้น ในเกมซ้อนเกมนี้ ผมฟันธงให้พวก “ลอยคอ-รอคอย” เงินแจกคนละ ๑ หมื่น ไว้ตรงนี้เลยว่า
รอไป “ชาติหน้าบ่ายๆ” โน่นแหละ ไม่กล้าหรอก ทำลีลา “เลี่ยงคุก” ไปงั้นเอง
และผมสงสัยจริงๆ นะ ไอ้การ “กู้มาแจก” ๕๐๐,๐๐๐ ล้าน มันเกี่ยวอะไรกับประชาธิปไตย-ไม่ประชาธิปไตย
ผมเป็นเง็งจริงๆ!?
เพราะเห็น คำก็ “เคารพในระบอบประชาธิปไตย”
สองคำก็ “ทำตามสิ่งที่สัญญาไว้กับประชาชน”
สามคำก็ “ถ้าทำแล้วล้มเหลวหรือมีปัญหา ค่อยว่ากันตามกระบวนการประชาธิปไตย”
นี่…ท่านภูมิธรรม อ้าง “สัญญาไว้กับประชาชน” ใช่มั้ย?
ผมจะยกสัญญาที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงและยื่นไว้กับกกต.มาให้ดูนะ
๗๐ นโยบายที่เพื่อไทยใช้หาเสียง ๑ ในนั้น คือ “กระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน” กระเป๋าเงินดิจิทัล “อายุ ๑๖ ปี ได้ ๑ หมื่น
ที่มาของเงิน ๕.๖ แสนล้านระบุไว้ ดังนี้
-มาจากประมาณการรายได้รัฐที่เพิ่มขึ้นในปี ๒๕๖๗จำนวน ๒๖๐,๐๐๐ ล้านบาท
-ภาษีที่ได้จากผลคูณต่อเศรษฐกิจจากนโยบาย ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท
-การบริหารจัดการงบประมาณ ๑๑๐,๐๐๐ ล้านบาท
-การบริหารจัดการงบประมาณด้านสวัสดิการที่ซ้ำซ้อน ๙๐,๐๐๐ ล้านบาท
รวมทั้งหมด ๕๖๐,๐๐๐ ล้านบาท!
นี่คือ “สัญญา” ที่ให้ไว้ตอนหาเสียง และยื่นไว้กับกกต.
แล้วมีวรรคไหน บรรทัดไหน บอกไว้มั้ยว่า ๕.๖ แสนล้านนี้ จะกู้มาแจก แล้วให้ประชาชนเป็นคนแบกหนี้ ๕.๖ แสนล้านนั้น?
ก็ไม่มี…
มีแต่ระบุไว้ชัด “มาจากงบประมาณ” ๔ รายการนั้น ซึ่งทำได้ตามกฎหมายทุกประการ
แต่พอวันนี้ “ตระบัดสัตย์” ในสัญญา จากในงบประมาณเป็นกู้มาแจก ซึ่งขัดกฎหมาย คุกสถานเดัยว
ตอนหาเสียงคุย คิดใหญ่-ทำเป็น คิดมาดีแล้ว ตอนนี้อ้าง “การปฎิบัติที่เป็นจริง” ต้องกู้ นี่น่ะเรอะ “คิดมาดีแล้ว?”
ไม่กู้ซักบาท ก็ต้องกู้ทั้งหมด, ว่าแจกได้เลย ก็ไม่รู้แจกได้ชาติไหน แถมลงท้าย… “ถ้าล้มเหลว ค่อยว่ากันตามกระบวนการประชาธิปไตย”
ก็หมายความว่า ให้ “ฉิบหาย ๕ แสนล้าน” ก่อน แล้วค่อยเรียกมาดีดไข่ ส่วนฉิบหาย ประชาชาชนแบ่งๆกันแบกหนี้ไป อย่างนี้….
ขอ “โกงฟรี” แก้จนซักรอบ แล้วอ้างประชาธิปไตยบ้างได้มั้ย?
เปลว สีเงิน
๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๖