ตำน้ำพริกละเลงตัณหา – ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

น่าเห็นใจ

รัฐบาลเศรษฐาเข้ามาพร้อมกับปัญหาที่ต้องแก้มากมาย

แต่รู้ไว้เถอะครับที่เจออยู่ในขณะนี้ ยังไม่ถึงขั้นสาหัส

ยังไม่ได้เศษหนึ่งในร้อยปัญหาที่รัฐบาลลุงตู่เจอ

ระยะสิบปีหลังจากนี้ จะไม่มีอะไรร้ายแรงไปกว่าการระบาดของโควิด-๑๙ ที่กินระยะเวลายาวนานถึง ๓ ปี ทำเศรษฐกิจทั่วโลกแทบล่มสลายอีกแล้ว

ฉะนั้นสิ่งที่รัฐบาลเศรษฐาต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำท่วม ปัญหาความเชื่อมั่น ล่าสุดปัญหาที่ฉนวนกาซา มีคนไทยเสียชีตวิต ๑ คน ถูกจับเป็นตัวประกัน ๑๑ คน ได้รับบาดเจ็บอีก ๘ ราย อยู่ในวิสัยที่รัฐบาลสามารถจัดการได้

เป็นปัญหาที่รัฐบาลซึ่งมีความสามารถอยู่ในเกณฑ์ค่าเฉลี่ยสามารถเอาอยู่

แทบทุกรัฐบาลเจอปัญหาน้ำท่วม ปัญหาระหว่างประเทศ มาด้วยกันทั้งนั้น และผ่านมาได้ทุกรัฐบาล แม้รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะทุลักทุเลจากวิกฤตน้ำท่วมใหญ่มากกว่าใคร

แต่ประชาชนก็เอาอยู่!

ฉะนั้น ไม่ว่าเรื่องดิน น้ำ ลม ไฟ อย่างไรเสียก็ต้องผ่าน

แต่ปัญหาที่อาจทำให้รัฐบาลกระอักเลือด คือปัญหาที่รัฐบาลเป็นผู้สร้างขึ้นมาเอง

ดูรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นตัวอย่าง “เอาอยู่หมด” แต่มาตายเพราะฝีมือตัวเอง

รัฐบาลโกง

โครงการรับจำนำข้าว คือปัจจัยหลักที่นำไปสู่การล่มสลายของรัฐบาล

ก่อนที่จะฉิบหายวายป่วงมีเสียงเตือนรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากฝ่ายค้าน นักวิชาการ รวมไปถึงคนของรัฐบาลเองว่า โครงการรับจำนำข้าวจะนำไปสู่การคอร์รัปชั่นอย่างกว้างขวางหลายระดับ

แล้วมันก็เกิดขึ้นจริง

วันนี้เหมือนย้อนรอยเดิม

เสียงเตือนจากทั่วทุกสารทิศ ให้ระวังนโยบายแจกเงินดิจิทัล ไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจจริง แต่จะทำให้การเงินการคลังของประเทศได้รับความเสียหาย

ประชาชนจะแบกหนี้มากขึ้น

คนในพรรคเพื่อไทยบางคนก็เริ่มตั้งคำถามแล้ว

“สามารถ แก้วมีชัย” อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความชวนให้คิด

“…นโยบายแจกเงินดิจิทัลหนึ่งหมื่นบาท ที่ต้องใช้งบประมาณทันทีถึงห้าแสนหกหมื่นล้านบาท กับผลดีผลเสียที่จะเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว จะให้เชื่อใครดี ระหว่างรัฐบาลกับนักการเงิน การธนาคารและนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์…”

ครับ…จะเชื่อใครดี

เชื่อรัฐบาลได้หรือเปล่า?

ก่อนจะเชื่อรัฐบาลก็ต้องรู้ก่อนว่ารัฐบาลมีความพร้อมสำหรับโครงการนี้แค่ไหน

ฟังจาก นายกฯเศรษฐา เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาแล้ว พูดได้คำเดียว เสียววูบเหมือนไอ้ตูบตกน้ำ!

“… ขอให้ตกผลึกทั้งหมดก่อนในแง่นโยบายว่ารายละเอียดมีอะไรบ้าง เช่นบางคนบอก ๔ ตารางกิโลเมตรอาจไม่พอ เพราะบางที่มองไปมีแต่ทุ่งไม่มีร้านค้าจะทำอย่างไร รัฐบาลรับฟังเดี๋ยวจะไปพิจารณาใหม่ เพราะน่าจะปลายเดือนตุลาคมน่าจะออกมาได้ทุกอย่าง ขอให้อดทนนิดหนึ่ง…”

สรุปคือ ยังไม่นิ่ง

พรรคเพื่อไทยนำเรื่องนี้มาหาเสียงเลือกตั้ง “เศรษฐา” เป็นคนเปิดนโยบายนี้มาตั้งแต่วันที่ ๑๗ มีนาคม ผ่านมาแล้วร่วม ๗ เดือน ยังไม่รู้หัวรู้ห่างเลย

แค่เอาเงินมาจากไหน ก็ยังลับลวงพลางกันอยู่

มิพักต้องพูดถึงในรายละเอียด เพราะยังทำกันไม่เสร็จ

ยังมีเวลาครับ ไม่ใช่เวลาเดินหน้า แต่เวลาถอย เนื่องจากหายนะที่จะเกิดกับเม็ดเงิน ๕.๖ แสนล้านบาทนั้นไม่ใช่นิดๆ

แต่ทำลายเศรษฐกิจของประเทศได้

คนที่ออกมาเตือนรัฐบาลแต่คนไม่ใช่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่รัฐบาลไม่ต้องสนใจก็ได้ แต่เป็นคนที่จัดเจนเรื่องนโยบายทางเศรษฐกิจโดยตรง เช่น “สมชัย จิตสุชน” นักวิชาการจากทีดีอาร์ไอ ช่วงนี้จัดชุดใหญ่ไฟกระพริบ ล่าสุดก็ออกมาอีกแล้ว

“…หนึ่งใน ‘ข้อดี’ ของโครงการแจกเงินดิจิตัลที่รัฐบาลพยายามพร่ำบอกและโน้มน้าวให้คนเชื่อและสนับสนุนนโยบายนี้คือ ‘เงินจะหมุนได้หลายรอบ ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นหลายเท่าของเงินที่แจกไป’ โดยบางกระแสบอกว่าจะสูงถึง ๔-๖ เท่า

ผลการวิจัยของ ธปท. ที่ทำไว้หลายปีแล้ว (จึงไม่ควรโยงว่าเพื่อดิสเครดิตโครงการนี้) ว่าเงินโอนจะมีค่าตัวคูณทางการคลังเพียง ๐.๔ ไม่ใช่ ๔-๖ เท่าแต่อย่างใด

แจกเงิน ๑๐๐ บาทเศรษฐกิจโตแค่ ๔๐ บาท คือหมุนไม่ถึงครึ่งรอบด้วยซ้ำ

พูดง่าย ๆ คือ ‘ได้ไม่เท่าเสีย’ แบบตรงไปตรงมา ยังไม่ต้องพูดถึง ‘ค่าเสียโอกาส’ ที่โครงการดี ๆ จะถูกเบียดบังออกไปจากโครงการนี้

เผื่อเป็นข้อมูลให้ได้วิเคราะห์ไตร่ตรองกันครับ…”

อีกเสียงเตือนจาก “วรากรณ์ สามโกเศศ” อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์

“…เรื่องนี้ต้องดูตัวเลข ข้อมูลทางวิชาการ ซึ่งตัวเลขทางเศรษฐกิจของทุกสำนัก ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและภาคเอกชน ต่างบอกตรงกันว่าเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว หลังมีการอัดฉีดเข้าไปในระบบบในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงโควิด ซึ่งมันต้องใช้เวลากว่าที่จะทำงานได้

และที่สำคัญเศรษฐกิจไม่ได้เติบโตจากการกระตุ้น เพราะการกระตุ้นก็คือกระตุ้นขึ้นมา แต่เศรษฐกิจจะเดินด้วยตัวของระบบเศรษฐกิจเอง อย่างอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวปัจจุบันก็ดีขึ้นเยอะ นำเงินเข้าประเทศไทยเป็นแสนล้านบาท และมีทิศทางที่ดีขึ้น ส่วนภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ก็กำลังขยับตัวตาม

เพราะฉะนั้น ณ ขณะนี้จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการกู้ยืมเงิน ห้าแสนกว่าล้านบาท ที่เป็นความเสี่ยง ผมคิดว่าเป็นความเสี่ยงมาก…”

ก็เข้าข่ายตำน้ำพริกละลายแม่น้ำสิครับ!

เงิน ๕.๖ แสนล้านบาท ผันไปเป็นงบลงทุนของรัฐบาล หมุนเงินได้หลายรอบจริง แถมยังมีข้าวของติดไม้ติดมือเอาไว้ใช้ต่อในอนาคต

แต่เอาไปแจกประชาชนหัวละหมื่น หมดแล้วหมดเลย

ที่เพิ่มมาคือหนี้ ประชาชนก็แบกกันสิครับ

ความล้มเหลวในการบริหารนโยบายนี้จะปรากฎเป็นตัวเลข อย่างน้อยก็น่าจะเข้าสู่ปีที่ ๒ ในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ถึงเวลานั้นรัฐบาลจะอยู่ยาก

มาถึงขั้นนี้แล้วหาก เตือนไม่ฟัง ก็ต้องปล่อย เพราะรัฐบาล (ทักษิณ) คิดว่าตัวเองเก่งที่สุด

ถึงเวลาฉิบหาย “เศรษฐา” จะบอกผมไม่รู้ไม่ได้

ดู “หนูไม่รู้” เป็นตัวอย่าง

จะรู้ดีกว่าใครก็ตอนหนีครับ

Written By
More from pp
“แว่นท็อปเจริญ” รับโล่เกียรติคุณ “ผู้ทำประโยชน์ให้แก่วงการแพทย์ทางจักษุ” จากราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย  
นายนพศักดิ์ ตรีพรชัยศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ ห้างแว่นท็อปเจริญ เข้ารับมอบโล่ประกาศเกียรติคุณจาก ศาสตราจารย์ พญ.วณิชา ชื่นกองแก้ว ประธานราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย ในฐานะ “ผู้บำเพ็ญประโยชน์แก่วงการแพทย์ด้านจักษุ” 
Read More
0 replies on “ตำน้ำพริกละเลงตัณหา – ผักกาดหอม”