ผักกาดหอม
ก็ชัดเจนครับ…
พรรคก้าวไกลมิได้ประสงค์ที่จะอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่นในปัจจุบัน
แต่ต้องการให้มีรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไป
ประเด็นนี้ปรากฏชัดในคำแถลงร่วมของ “ชัยธวัช ตุลาธน” และ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคมที่ผ่านมา
“…แน่นอนว่าระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขในแต่ละประเทศย่อมมีลักษณะไม่เหมือนกัน และไม่ได้มีลักษณะหยุดนิ่งตายตัว การจัดระเบียบสังคม การออกแบบสถาบันทางการเมือง ระบบกฎหมาย วัฒนธรรม คุณค่าพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของแต่ละประเทศย่อมเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปตามวิวัฒนาการของสังคม
ความพยายามทำให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมีลักษณะหยุดนิ่ง ตายตัว พัฒนาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ย่อมเป็นอันตรายต่อระบอบการปกครองของไทย เพราะจะทำให้สูญเสียความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับสมดุลใหม่ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขทางสังคมที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย เสียโอกาสที่จะรักษาสิ่งเก่าและเชื่อมประสานกับสิ่งใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ระบอบประชาธิปไตย กับสถาบันพระมหากษัตริย์แปลกแยกต่อกัน
การปกปักรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จึงไม่สามารถบรรลุได้ด้วยการใช้อำนาจกดปราบ ไม่ว่าจะด้วยกำลัง ในนามของกฎหมาย มีแต่ต้องสร้างสมดุลให้ได้สัดส่วน เหมาะสมกับยุคสมัย ระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อให้ระบอบนี้มั่นคงยั่งยืน ด้วยความเชื่อมั่นศรัทธา และความยินยอมพร้อมใจของประชาชน
ทว่าหลายปีที่ผ่านมา การนำประเด็นเกี่ยวกับความจงรักภักดีมากล่าวหาโจมตีกันในทางการเมือง นำไปสนับสนุนหรือเกี่ยวพันกับการทำรัฐประหารทั้งโดยกำลังทหารและโดยกฎหมาย รวมถึงการแสดงความจงรักภักดีอย่างล้นเกินเพื่ออำพรางการแสวงหาประโยชน์ส่วนตนอย่างฉ้อฉลของคนบางกลุ่ม ประกอบกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางการเมืองตามยุคสมัยได้กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาการเมืองและความรู้สึกนึกคิดแบบใหม่ที่สังคมไทยในอดีตอาจไม่คุ้นเคย
แต่แทนที่ผู้มีอำนาจจะตระหนักถึงความผิดพลาดในอดีตและพยายามแสวงหากุศโลบายด้วยสติปัญญาเพื่อคลี่คลายแรงตึงเครียดในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของไทย และสร้างฉันทามติใหม่ที่สอดคล้องกับยุคสมัย กลับเลือกที่จะใช้อำนาจกดทับประชาชนมากยิ่งขึ้น รวมถึงการบังคับใช้มาตรา ๑๑๒ ในลักษณะเข้มงวดรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน…”
อ่านจบมีประเด็นต้องทำความเข้าใจกันเยอะพอควร
ในคำวินิจฉัยคดีล้มล้างการปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า การกระทำของ “พิธา” และพรรคก้าวไกล กรณีหาเสียงแก้ไข ม.๑๑๒ เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง สั่งให้เลิกการแสดงความเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายอื่นโดยวิธีอื่นเพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ อีกทั้งไม่ให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย
แม้ในคำแถลงของ “พิธา” และ “ชัยธวัช” จะไม่มีคำว่า “ยกเลิก ม.๑๑๒”
แต่ในภาพรวม การอ้างว่าระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีลักษณะหยุดนิ่ง ตายตัว พัฒนาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ย่อมเป็นอันตรายต่อระบอบการปกครองของไทย ก็พอมองออกมาแนวคิดนี้จะพัฒนาไปสู่อะไร
พอพิสูจน์ได้เบื้องต้นว่า “พิธา” และพรรคก้าวไกล ไม่เคยหยุดคิดเรื่องยกเลิกหรือแก้ไข ม.๑๑๒ ตามแนวทางที่วางไว้
คือ ลดโทษให้เท่ากฎหมายหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา
รวมถึงความผิด ม.๑๑๒ ไม่ใช่ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ
การคิดมุมเดียวของพรรคก้าวไกลนับว่าอันตรายเป็นอย่างมาก
ความผิด ม.๑๑๒ ไม่สามารถอธิบายด้วยการอ้างว่า เป็นอำนาจกดปราบ ไม่ว่าจะด้วยกำลัง ในนามของกฎหมาย เพียงอย่างเดียวได้
เพราะคนที่กระทำความผิด ม.๑๑๒ ส่วนใหญ่ล้วนมีแนวคิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น
อาจมีบ้างที่ถูกกลั่นแกล้ง แต่แนวทางแก้กฎหมายเพื่อแก้ปัญหา ก็หาใช่ตามแนวทางที่พรรคก้าวไกลเสนอไม่
เนื่องจากการแก้ ม.๑๑๒ ตามแนวทางของพรรคก้าวไกลคือ ประตูเปิดไปสู่การล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์
ไม่หยุดยังไม่พอ “พิธา” และพรรคก้าวไกล ยังพูด ยังโฆษณาถึง ม.๑๑๒ ในมุมที่ตัวเองอยากให้เป็น
ยังคงขยายความสร้างความเข้าใจผิด ว่ามีการนำประเด็นเกี่ยวกับความจงรักภักดีมากล่าวหาโจมตีกันในทางการเมือง นำไปสนับสนุนหรือเกี่ยวพันกับการทำรัฐประหารทั้งโดยกำลังทหารและโดยกฎหมาย
นั่นคือความคิดที่ถูกจับยัดใส่สมองมานานนับแต่ยุคกึ่งพุทธกาล
ย้อนกลับไปปี ๒๕๖๐ ปาฐกถาพิเศษถ่ายทอดเรื่องราวจากความทรงจำของ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ในวันครบรอบ ๔๔ ปี เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ที่อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา แยกคอกวัว ที่คนรุ่นหลังพึงเปิดใจ รับรู้ข้อมูล
“…ท่านผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองของไทยคงจะจำได้ว่า บ้านเรานั้นแม้จะปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยก็มีอุบัติเหตุการเมือง เกิดรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนมากรัฐประหารก็ทำโดยผู้ถืออาวุธคือทหาร ทหารผลัดกันขึ้นมาปกครองบ้านเมือง จนกระทั่งแทนที่จะเจริญก้าวหน้า บ้านเมืองก็ย่อยยับลงครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่ละครั้งที่เกิดการรัฐประหารขึ้น เพื่อที่จะให้ผู้ยึดอำนาจได้นั้นถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ เป็นรัฐบาลที่ถูกกฎหมาย ก็จะต้องวิ่งไปหาพระมหากษัตริย์ และในที่นี้ก็คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ก็ต้องเป็นผู้ที่ทำให้รัฐบาลนั้นถูกต้องตามกฎหมายขึ้นมาโดยไม่มีทางเลือก
มักจะมีผู้ที่ไม่เข้าใจและแสดงความข้องใจอยู่เสมอๆ ว่าเมื่อรัฐบาลยึดอำนาจวิ่งเข้าไปหา หากว่าพระองค์ไม่พระราชทานความถูกต้องให้กับรัฐบาล รัฐบาลนั้นก็เจ๊งใช่หรือเปล่า
มันไม่ง่ายอย่างนั้นนะครับ เพราะคนที่วิ่งเข้าไปขอพระราชทานความถูกต้องของรัฐบาลเป็นคนถืออาวุธ ถ้าหากว่าพระองค์ปฏิเสธ ก็แน่นอนเหลือเกินว่ามันจะต้องเกิดการต่อสู้ปะทะกันขึ้น เขาชนะอยู่แล้ว เพราะยึดอำนาจไปเรียบร้อยแล้ว ใครจะไปต่อสู้กับเขาอีก นอกจากพระองค์เองซึ่งไม่มีทหาร ไม่มีกองทัพ พระองค์ดำรงตำแหน่งเป็นจอมทัพตามรัฐธรรมนูญ แต่ก็เป็นตำแหน่งที่ถือเป็นเกียรติเฉยๆ อำนาจในการบังคับบัญชาไม่มี นี่คือเหตุผลว่าทำไมรัฐบาลที่เกิดขึ้นจากการรัฐประหารจึงเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายเสมอมา
เมื่อเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับรัฐบาลก็ค่อนข้างที่จะตึงเครียด
รัฐบาลทหารช่วงต้นๆ เมื่อยึดอำนาจได้แล้วก็เกือบจะไม่เห็นความสำคัญของพระมหากษัตริย์เลย ตั้งแต่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ยึดอำนาจ แม้จะให้ความเคารพก็เป็นเรื่องที่เคารพแต่ปาก ในทางปฏิบัตินั้นปรากฏว่ามีการกระทบกระทั่งขัดแย้งกันระหว่างพระมหากษัตริย์กับรัฐบาล
แล้วมาถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัฐบาลเริ่มจะฟังพระเจ้าแผ่นดินมากขึ้น และรัชกาลที่ ๙ เป็นผู้ที่ทรงเห็นการณ์ไกล พระองค์สามารถที่จะประนีประนอมกับรัฐบาล และในขณะเดียวกันก็เข้าไปมีบทบาทในเรื่องของการพัฒนาประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามมากขึ้นๆ จนกระทั่งบัดนี้เป็นที่ยอมรับกันว่า ๗๐ ปีของการครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นมหาราชพระองค์หนึ่งที่ทำความเจริญมั่นคงให้แก่บ้านเมือง และทำให้ประชาชนมีความสุขอย่างที่ได้เห็นกันในปัจจุบัน…”
ครับ…พรรคก้าวไกล พึงตระหนักว่า ข้อมูลที่ปลูกฝังกันมานั้น…
มาจากความเกลียดชังสถาบันพระมหากษัตริย์ของคนกลุ่มหนึ่งในอดีต ซึ่งมีความเข้าใจผิด คิดเอาเองว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศัตรูกับประชาชน
และการที่พรรคก้าวไกลอ้างว่าประชาชนต้องการให้เป็นไปตามแนวทางของตนเองนั้น จุดนี้หากไม่ระมัดระวัง นำไปพูดพร่ำเพรื่อ จะเป็นการจุดชนวนให้เกิดสงครามกลางเมืองได้
เพราะไม่ใช่เรื่องของคนสองสามคน แต่เป็นล้านๆ คน
แล้วจะรับผิดชอบกันไหวหรือไม่