15 กรกฎาคม 2566 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ในฐานะสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า การที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ผ่านการโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 นั้น เป็นขั้นตอนที่ไม่ว่าพรรคไหน คนไหน ก็ต้องผ่านขั้นตอนนี้ อันเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ที่ได้เขียนไว้ก่อนการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566
ซึ่งทุกพรรคการเมืองทราบเงื่อนไขและลงรับสมัครเลือกตั้งตามกติกาอย่างเท่าเทียมกัน และเมื่อผลการเลือกตั้งจบทุกพรรคการเมืองก็ต่างออกมายืนยันว่าให้พรรคการเมืองที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งพรรคก้าวไกลก็ควรจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ ไม่ใช่กล่าวโทษกลไกและกติกาที่ทราบดีและยอมรับก่อนเลือกตั้ง
“ซึ่งที่ผ่านมานายพิธาอาจรู้อยู่แก่ใจว่าอะไรที่เป็นอุปสรรคในการรวมเสียงโหวตให้ตนเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ไม่ได้ นายพิธาต้องพิจารณาตนเองว่ามีความรับผิดชอบในเรื่องคุณสมบัติและนโยบายที่จะเป็นแคนดิเดตนายกฯ และส.ส.ได้หรือไม่ ซึ่งหากนายพิธารู้ก็ต้องไม่ละเลยจนนำไปสู่ความล้มเหลว
อย่าทำตนเหมือนไร้วุฒิภาวะอันสะท้อนถึงการบริหารจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพ และความผิดพลาดนี้อาจทำให้ประชาชนสงสัยได้ว่า แท้จริงแล้วมาเพื่อเป็นรัฐบาลตามเป้าหมายหรือมาเพื่อปั่นป่วนกันแน่” น.ส.ทิพานัน กล่าว
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า สำหรับการพาดพิงใดๆ ว่ามีการกลั่นแกล้งจากผู้รับผิดชอบตามกฎหมายกำหนดนั้น ก็ขอให้นายพิธาศึกษาข้อกฎหมายและระวังป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยแบบ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เคยฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้งและเจ้าหน้าที่สำนักงาน กกต. เป็นคดีอาญาต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง
โดยมีมูลเหตุมาจากเห็นว่ามีกระบวนการสืบสวนสอบสวนภายในที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีการใช้กฎหมายกลั่นแกล้ง ซึ่งต่อมาศาลฯ ยกฟ้อง และนายธนาธรถูกเจ้าหน้าที่สำนักงาน กกต.ฟ้องกลับเพราะเป็นการกล่าวหาเท็จ จนนายธนาธรต้องโพสต์ข้อความขอโทษทางเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 65
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า สิ่งที่นายพิธาควรทำคือการแก้ไขปัญหาอย่างมีวุฒิภาวะ มีสติปัญญา มีภาวะผู้นำ เช่นควรกลับไปบอกผู้ลงคะแนนเสียงให้ว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างตรงไปตรงมา หรือหากนึกไม่ออกก็อาจจะบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นความสะเพร่าของนายพิธาเอง ไม่มีผู้ใดกลั่นแกล้ง
ทั้งการถือครองหุ้นสื่อที่ไม่ยอมจัดการให้เรียบร้อยก่อนสมัคร ส.ส.และสมัครเป็นแคนดิเดตนายก ทั้งการดึงดันหมกมุ่นเรื่องแก้ไขมาตรา 112 ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปากท้องประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ทั้งที่ช่วงเลือกตั้งมีนโยบาย 300 นโยบายเพื่อความเท่าเทียมและเท่ากัน
แต่หลังเลือกตั้งกลับให้ความสำคัญเพียงแต่มาตรา 112 ดื้อดึงดันจนละเลยคะแนนเสียงของผู้สนับสนุนที่ลงคะแนนให้จากการชอบนโยบายอื่นไปหมดสิ้น
“และสิ่งที่อยากแนะนำ คือ อย่าไปหลงเชื่อผู้ที่อยากให้นายพิธาไปปลุกระดมมวลชนจนนำมาซึ่งสถานการณ์ที่ไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ จนมาซึ่งประชาชนราว 67 ล้านคนที่เฝ้ามองการกระทำของนายพิธาว่าจะมีวุฒิภาวะแบบนายกรัฐมนตรีในฝันหรือจะไปเป็นมาเฟียโซเชียล
ซึ่งพฤติกรรมการบริหารจัดการของนายพิธาก็ต้องชวนประชาชนร่วมกันตรวจสอบเพราะนายพิธาที่มีแต่ข้อพิรุธอีกหลายกรณีมาก และสุดท้ายหวังว่านายพิธาจะมีวุฒิภาวะที่ดี เดินหน้าแก้ไขในสิ่งที่ตนเองผิดพลาดในเร็ววัน เพื่อสานฝันเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทั้งประเทศ” น.ส.ทิพานัน กล่าว