ผักกาดหอม
อีกมุมของก้าวไกล
สองสามวันมานี้ เกิดปรากฏการณ์ โซเชียลแชร์บทสัมภาษณ์ “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” กันเต็มไปหมดแทบจะทุกช่องทาง
เนื้อหาพูดเรื่องนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่เหมือนใคร
ใกล้เคียงสุดก็น่าจะเป็นเค้าโครงเศรษฐกิจของ “ปรีดี พนมยงค์”
แต่ก็ยังเป็นมิตรกับทุนขนาดใหญ่น้อยกว่าของ “ปรีดี”
มุมมอง “ดร.นิเวศน์” ดีกรี นักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เห็นว่านโยบายเศรษฐกิจของ ว่าที่รัฐบาลใหม่ ซึ่งก็คือพรรคก้าวไกล มีความสุดโต่ง ลดความเหลื่อมล้ำด้วยการรีดภาษีคนรวยมาช่วยคนจน
วิธีนี้อาจนำไปสู่วิกฤต
ต่างชาติถอนทุน
ที่เห็นอยู่ในขณะนี้คือกำลังเกิดผลกระทบอย่างหนักกับตลาดหุ้น
ทุนนิยมที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีปัญหาจริงครับ คนรวย รวยมากขึ้น ส่วนคนจน ก็จนลงกว่าเดิม ความเหลื่อมล้ำมีมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่…นโยบายสุดโต่งของพรรคก้าวไกลแก้ปัญหาได้จริงหรือ
หรือจะก่อปัญหาเพิ่ม
“ดร.นิเวศน์” ให้ความเห็นดังนี้ครับ
“…แนวทางใหม่ที่เสนอก็คือ การเก็บภาษีธุรกิจที่ ‘คนรวย’ เป็นเจ้าของมากขึ้น เก็บภาษีกิจกรรมที่คนรวยทำมากขึ้น และเก็บ ‘ภาษีทรัพย์สิน’ ของคนที่รวยหรือมีความมั่งคั่งมากกว่าปกติมาก
นอกจากนั้น ก็จะจัดการ กิจการของคนรวยที่ผูกขาด การทำธุรกิจที่เอารัดเอาเปรียบคนที่รวยน้อยกว่าหรือเป็นธุรกิจรายย่อย แล้วใช้เงินที่ได้เอามาแจกจ่าย หรือเป็นสวัสดิการ ให้แก่คนจน
หรือมองในทางวิชาการก็คือ จะเปลี่ยนแนวทางหรือปรัชญาทางเศรษฐกิจให้เป็นแบบ สังคมนิยม ที่เน้น ความเท่าเทียม ทางเศรษฐกิจของประชาชน แทนที่การเน้นการเติบโตอย่างที่ทำติดต่อกันมายาวนาน
แต่คนรวยและรวยมากในประเทศไทยส่วนใหญ่และน่าจะมากกว่า ๙๐% ของทั้งหมดที่ไม่ได้มาจากการทำผิดกฎหมายนั้น ก็มักจะมาจากการลงทุน ทำธุรกิจ
และในระยะหลังๆ ก็เป็นธุรกิจที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น ว่าที่จริงมูลค่าความมั่งคั่งของ คนรวย ที่อยู่ในตลาดหุ้นนั้นสูงถึงเกือบ ๒๐ ล้านล้านบาท หรือมากกว่ารายได้ต่อปีของประชาชาติไปแล้ว ดังนั้น เป้าหมายของการเรียกเก็บภาษีจึงเน้นไปที่หุ้นในตลาดหลักทรัพย์
ตัวอย่างภาษีที่มีการประกาศแล้วว่าอาจจะเก็บ ก็เช่น ภาษีนิติบุคคลของบริษัทขนาดใหญ่ที่จะเพิ่มขึ้นจาก ๒๐% เป็น ๒๓% ภาษีกำไรจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ การจัดการกับการผูกขาด ของบริษัทขนาดใหญ่มาก ที่ส่วนใหญ่ก็อยู่ในตลาดหุ้น
และการเก็บภาษีความมั่งคั่งสำหรับคนที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเกินกว่า ๓๐๐ ล้านบาท ซึ่งจำนวนมากก็เป็นคนที่ถือหุ้นอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น
ทั้งหมดนั้นมีผลต่อผลประกอบการของบริษัทและการประเมินมูลค่าหุ้นอย่างแน่นอน และอาจจะรุนแรง ซึ่งอาจจะทำให้หุ้นตก ซึ่งจะส่งผลให้การระดมทุนเพื่อขยายกิจการไม่เติบโต และในบางกรณีก็อาจจะมีการ ‘ถอนทุน’ ออกจากประเทศไทยไปด้วย
โดยคนที่ถอนอาจจะเป็นนักลงทุนต่างประเทศ ที่อาจจะมองว่าตลาดหุ้นไทยไม่เติบโตและให้ผลตอบแทนต่ำกว่าคู่แข่งที่เป็นตลาดที่เติบโตเร็วกว่า และให้ผลตอบแทนสูงกว่า หรืออาจจะเป็นนักลงทุนไทยเองที่หันไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ
และนั่นก็จะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยลดลง ซึ่งก็จะทำให้เม็ดเงินภาษีที่จะเก็บได้ลดน้อยลง ไม่เพียงพอต่อการให้สวัสดิการที่จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากในอนาคต
การตกลงของดัชนีตลาดหุ้น ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของผลประกอบการเพราะการเก็บภาษีในระดับสูง และการเพิ่มขึ้นของต้นทุนของการซื้อ-ขายหุ้น เนื่องจากภาษีกำไรจากการลงทุนและอื่นๆ นั้น ยังส่งผลต่อคนชั้นกลางจำนวนมาก อาจเป็นหลายล้านคน ที่ลงทุนออมหุ้นเพื่อการเกษียณ
พวกเขาเหล่านั้นต่างก็ลงทุนในหุ้นเอง หรือผ่านกองทุนรวมหรือกองทุนต่างๆ ที่ลงทุนในหุ้นที่เป็นทรัพย์สินที่ ให้ผลตอบแทนสูงสุด เมื่อเทียบกับการลงทุนอื่นๆ โดยเฉพาะการฝากเงินในธนาคาร
แต่ถ้าหากว่าหุ้นไทยตกลงต่อเนื่องระยะยาว อันเป็นผลจากนโยบายที่ไม่สนับสนุนตลาดทุนของรัฐ อนาคตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร? พึ่งพาสวัสดิการหรือ?
ทางเลือกหนึ่งของรัฐบาลที่จะทำได้ก็คือ การเพิ่มภาษี VAT แทน ซึ่งจะได้เม็ดเงินเพิ่มตามจำนวนที่ต้องการและไม่ผิดพลาด มาใช้ในการทำสวัสดิการที่ต้องการ และไม่เกิดผลข้างเคียงมาก ว่าที่จริงภาษี VAT ของไทยก็ยังต่ำกว่าประเทศส่วนใหญ่ในโลก
ในอีกด้านหนึ่ง เป้าหมายที่จะลดความเหลื่อมล้ำอย่างรวดเร็วนั้น ก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก เพราะอาจจะเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงและไม่พึงประสงค์ได้
ตัวอย่างเช่น อาจจะทำให้ตลาดทุนตกต่ำลง ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจรุนแรง ซึ่งจะกลับมาส่งผลต่อเม็ดเงินที่จะใช้ในการแก้ปัญหาความยากจนและความเท่าเทียม และลดเม็ดเงินที่จะลงทุนในกิจการสาธารณูปโภค ซึ่งก็จะลดการลงทุนของเอกชนในตลาด
กลายเป็น วัฏจักรแห่งความเลวร้าย ซึ่งน่าจะเคยเกิดขึ้นกับประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศในโลกที่ใช้นโยบาย สุดโต่ง เกินไป และจนถึงวันนี้ก็ยังไม่ฟื้นจาก วิกฤตที่ร้ายแรงของประเทศ
หลายคนอาจจะคิดว่าการพูดว่าตลาดทุนหรือตลาดหุ้นจะพัง หรือมีประสิทธิภาพลดลงมากจนไม่สามารถช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจได้นั้น อาจจะมองโลกในแง่ร้ายเกินไป แต่ผมคิดว่าในโลกยุคปัจจุบันนั้น ความเชื่อสำคัญเท่าๆ กับความจริง
กล่าวคือถ้าคนเชื่อว่าประเทศเราไม่สนับสนุนตลาดทุนหรือตลาดหุ้น หรือเราจะเป็นสังคมนิยม เขาก็จะตัดสินใจไม่มาลงทุนหรือถอนการลงทุนออกไป อาจจะโดยการขายหุ้นในตลาดอย่างต่อเนื่อง
นั่นก็จะทำให้คนอื่นต้องทำตามเพราะกลัวหุ้นตก และในที่สุดก็ทำให้ตลาดทุนและตลาดหุ้นตกต่ำลง ความเชื่อก็กลายเป็นความจริง
สุดท้ายที่ผมอยากจะพูดถึงก็คือ หลายคนอาจจะคิดว่า ผมอาจจะมี Bias หรือความลำเอียงในฐานะของคนในตลาดหุ้นที่จะต้องเสียภาษีหนัก
คำตอบของผมก็คือ ถ้าคำนวณว่าสุดท้ายผมต้องเสียภาษีเทียบกับความมั่งคั่งไม่เกินปีละ ๐.๕-๑% ต่อปี ผมก็คงไม่เดือดร้อนหรอก ถ้าตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยปีละประมาณ ๗-๘% และผมอาจจะทำได้ดีกว่านั้นด้วย
สิ่งที่ผมกลัวก็คือ ตลาดหุ้นและตลาดทุนจะวาย ลงทุนแล้วดัชนีมีแต่จะตกต่ำลงไปเรื่อยๆ
เรากำลังผ่าน ทศวรรษที่หายไป ในปีนี้ และก็หวังว่าเราจะเริ่มฟื้นตัวสู่ทศวรรษแห่งความรุ่งเรือง หรืออย่างน้อยเป็น ทศวรรษแห่งความยั่งยืน หรือทศวรรษปกติ
แต่ถ้ามันไม่ใช่ นี่ก็อาจจะเป็น อวสานของตลาดหุ้น ที่นักลงทุนจะต้องพิจารณาว่าจะทำอย่างไร…”
ครับ…นโยบายเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล ไกลจากความเป็นจริง อาจเพราะเกิดจากความชิงชังใน “ทุน” มองว่า “ทุน” คือปัญหา
การนำเสนอนโยบายจึงมุ่งไปที่ชนชั้นนำ โดยพรรคก้าวไกลมีความเชื่อว่าชนชั้นนำมักมีโอกาสที่จะสืบทอดทรัพย์สมบัติและทรัพย์สินมากกว่าชนชั้นอื่น
การส่งต่อทรัพย์สินและอภิสิทธิ์จะเกิดขึ้นโดยง่ายมากขึ้น ความไม่เท่าเทียมข้ามรุ่นนี้ ท้ายที่สุดจะถูกใช้เพื่อเบี่ยงเบนและกลบเกลื่อนความขัดแย้งทางชนชั้น
ทัศนคติเช่นนี้หนักกว่าเค้าโครงเศรษฐกิจของปรีดีด้วยซ้ำ
ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการประกอบการทางเศรษฐกิจ ของ “ปรีดี” มีเนื้อหาหลักให้รัฐบาลเป็นผู้จัดการเศรษฐกิจเสียเอง โดยให้สร้างความร่วมมือระหว่างคนมั่งมีกับคนจนโดยไม่ประหัตประหารคนมั่งมี
ไม่ใช้วิธีริบคืนที่ดินแบบคอมมิวนิสต์ แต่จะให้รัฐบาลซื้อคืนที่ดินเท่าที่จำเป็น
ให้ราษฎรทุกคนเป็นข้าราชการเพื่อให้ราษฎรทุกคนมีงานทำ
รัฐบาลจะจ่ายเงินเดือนให้แก่ราษฎร เพื่อให้ราษฎรเอาไปแลกเปลี่ยนกับปัจจัยในการดำรงชีวิต โดยรัฐบาลจะจัดหาปัจจัยเหล่านั้นไว้ในรูปแบบสหกรณ์และรัฐบาลจะดำเนินการกิจการเอง
ถือว่ายังไม่จ้องเล่นงาน “ทุน” เท่าพรรคก้าวไกล
พรรคก้าวไกลประกาศมาตลอดว่า หากได้เป็นรัฐาล ก็เท่ากับอวสานทุนผูกขาด
แล้วใครจะเป็นคนชี้ว่า ทุนผูกขาด มีบริษัทอะไรบ้าง
“ดร.นิเวศน์” บอกว่า คนรวยและรวยมากในประเทศไทยส่วนใหญ่และน่าจะมากกว่า ๙๐% ของทั้งหมดที่ไม่ได้มาจากการทำผิดกฎหมายนั้น ก็มักจะมาจากการ ลงทุน ทำธุรกิจ
ถ้าพรรคก้าวไกลจะพังทุนให้ราบเป็นหน้ากลอง มีทางเดียวครับ ทางที่พรรคก้าวไกลมักนำมากล่าวอ้างเสมอ
นิติสงคราม