การเมือง “ระบบรัฐสภา”
สำหรับบ้านเรา…….
สส.ฝ่ายค้าน เล่นบท “กอสวะ” กั้นทางเดินเรือและทางน้ำไหล เพื่อจ้องจังหวะ “ปล้น” มากกว่าทำให้ “น้ำใส-ไหลสะดวก” จากการ “ถ่วงดุล-ตรวจสอบ” ตามหลักการประชาธิปไตย!
ประเทศในช่วงโลกเปลี่ยนผ่านศตวรรษ “เศรษฐกิจ-การเมือง” ย่อมมีปัญหาปรับตัวด้านโครงสร้างในประเด็นส่วนรวม ทุกคน-ทุกฝ่าย “ด้วยสำนึกคน” ต้องผนึกกัน นำประเทศให้ผ่าน
แต่พิลึก….”ฝ่ายค้าน” บางคน ไม่แยกแยะ “ส่วนชาติ-ส่วนรวม” กินเงินเดือนหลวง แต่ตั้งหน้า “ล้มรัฐ” ชนิดไม่เกี่ยงวิธีการและรูปแบบ
บ้านเมืองมีภัย จากโจรวินาศกรรม
แทนที่จะแสดงเป็นส่วนเสริมเจ้าหน้าที่ให้บ้านเมืองเกิดเอกภาพแข็งแกร่ง
คนบางพรรคกลับโอบอุ้มฟูมฟักผู้ต้องสงสัย “ซุกระเบิดเมือง” ออกหน้า-ออกตาประหนึ่งว่า “คนขบวนการเดียวกัน”!?
ก็ต้องระวัง ชาวบ้านเขาจะนินทาว่า “สภาผู้แทน” ไม่ใช่ที่ทำงานของตัวแทนประชาชนมาร่วมกันสรรสร้างทางประเสริฐให้บ้านเมือง แต่มันกลายเป็นสถานที่คนคิดคดทรยศเมือง แฝงเข้ามาเป็นสายให้โจร!
ช่วงนี้ พายุเข้า “ฝนตก” ชาวไร่-ชาวนา บอกว่าดี “ตลาดหุ้น” ก็ตก แต่นักลงทุนบอก ไม่ดี ยิ่งไปดูตลาดเงิน ทั้งชาวไร่-ชาวนา ชาวหุ้น บอกเป็นเสียงเดียวกัน แข็งใดในโลกหล้า ถือว่า ดี แต่บาทแข็งโด่นานเป็นปีๆอย่างนี้ ไม่ดีเลย!
วันนี้ ๓๐.๗๐-๓๐.๘๐ บาท /๑ ดอลลาร์สหรัฐฯ
เงินบาทแข็ง น่าจะดี เพราะบอกถึงว่า ไทยเงินล้น การเงินแน่นปึก บาทไทยมีมาตรฐาน เป็นที่ต้องการคนทั้งโลก
มองเผินๆ ก็น่าเป็นเช่นนั้น ขั้นต้น การรันตีได้เลย “ต้มยำกุ้ง” ไม่เกิดกับไทยอีก พันเปอรเซนต์!
แต่อย่างว่า การแข็งของบาทไทย เปรียบเหมืนเรากินหมู, เห็ด, เป็ด,ไก่และซดแต่หูฉลามทุกวันๆ
อ้วน….”อึไม่ออก”!
ท้องผูกวัน-สองวัน พอไหว เจ็ดวัน แค่หน้าเขียว แต่ถ้าเกินกว่านั้นมี ๒ อย่าง เน่าใน สุดท้าย ตายเพราะ “อุนจิแข็งใน” ถ่ายไม่ออก
“เงินบาทแข็ง” ก็จะแข็งในลักษณะนี้กรายๆ คุยได้-อวดได้ ว่าเงินสำรองระหว่างประเทศ ใน ๑๙๓ ประเทศในโลกเรามีมากเป็นอันดับ ๑๒ ของโลก ด้วยมูลค่ากว่า ๒ แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ไทยเรารวย ก็ใช่ แต่เป็นรวยฉาบฉวยเงินชาวบ้าน แสดงถึงว่า ไทยค้าขายส่งออกได้เงินต่างประเทศเข้ามาเยอะ คนเข้ามาท่องเที่ยวเยอะ นำเงินนอกมาแลกบาทกันเยอะ และนักลงทุนต่างชาติยังขนเงินเข้ามาซื้อพันธบัตร ซื้อหุ้น ปล่อยกู้มาก ในช่วง ๕-๖ ปีนี้ เพราะ “ตู่เนื้อหอม”
เงินไทยเสถียรมาก ทำให้นักลงทุนมั่นใจ ในด้าน “ปิดความเสี่ยง” จากความผันผวนโลก เลยขน “เงินร้อน” เข้ามานอนพัก “รอจังหวะ” และกินส่วนต่างอยู่ในไทยกันอึดตะปือ
แบงก์ชาติเข้าแทรกแซงก็แล้ว ออกพันธบัตรดูดซับสภาพคล่องก็แล้ว ก็ยังสู้เงินนอกไหลไม่ได้ บาทเลยแข็งโด่อยู่อย่างนั้น ทั้งที่ “แบงก์ชาติ” ก็อยากจะอ่อนจนเต็มกลั้น บาทแข็งนานๆ “ไม่ดี”……….
เพราะนั่นแสดงถึงว่า กินแล้วไม่ถ่าย คือ เอาเงินมากองเก็บไว้ โดยไม่เกิดประโยชน์ทางต่อยอดธุรกิจอุตสาหกรรมเก่าก็ไม่ขยับขยาย ใหม่ก็ไม่ลงทุน
เมื่อไม่มีการลงทุน เงินไม่ต่างกระดาษ เพราะไม่เปลี่ยนค่าไปสู่กระบวนการผลิต-การจ้างงาน ไม่ซื้อวัตถุดิบ ไม่ซื้อเครื่องจักร วันนี้อาจไม่รู้สึก กินบุญเก่าไปได้ แต่ระยะยาว เมื่อไม่มีการลงทุน บุญเก่าหมด จนจุ๊ดจู๋ละทีนี้!
ต้องบอกว่า ตั้งแต่มีรัฐบาลคสช.ทำให้บัญชีเดินสะพัดของไทย “เกินดุล” ทะลักทะลายก่ายกอง เงินนอกไหลเข้า ทั้งจากส่งออก ทั้งจากท่องเที่ยว ทั้งจากเงินทุนไหลเข้ามาพักหากำไรชั่วคราว
เงินที่ได้จากส่งสินค้าไปขายต่างประเทศนี่แหละ ที่เป็นปัญหาชวนปวดหัวอยู่เวลานี้
เมื่อ “บาทแข็ง” สินค้าไทยที่ส่งไปขายก็แพงขึ้น ยิ่งสินค้าเกษตร ซึ่งมีประเทศที่ผลิตส่งเหมือนเราเยอะแยะ แต่เงินเขาอ่อน
เลยเป็นว่า สินค้าอย่างเดียวกัน ของเราแพง ของเขาถูก คู่ค้าก็เลยหันไปซื้อจากประเทศคู่แข็งกันมาก
นี่…บาทแข็ง ทำให้ไทยเป็นรองด้านแข่งขันเชิงปริมาณในตลาดส่งออก อย่างหนึ่งละ
อีกอย่าง ก็คือ เมื่อพ่อค้าขายได้ดอลลาร์มาแล้ว พอที่จะได้กำไรบ้าง กลับไม่ได้ หรือบางที่ ขาดทุนด้วยซ้ำ ในเมื่อ เงินบาทแข็งโป๊ก
ถ้า ๑ ดอลลาร์ แลกได้ ๓๒-๓๓ บาท ก็ยังอยู่กันได้ แต่แข็งระดับ ๑ ดอลลาร์ แลกได้แค่ ๓๐ บาท
ด้วย “ต้นทุน” อย่างทุกวันนี้ มันทุนหาย-กำไรไม่มี!
สรุปแล้ว “บาทแข็ง” เมื่อเทียบกับเงินสกุลต่างๆ เราแข็งกว่าเขาประมาณ ๒๐% การค้าส่งออก ไม่ตายวันนี้ แล้วจะตายวันไหน?
ที่ว่าตาย….ใครตาย?
พ่อค้า เจ้าของธุรกิจ “ไม่ตาย” แค่รวยอัตราเร่งต่ำลง แต่ที่ตายแห้ง-ตายนึ่ง คือ “เกษตรกร ชาวไร่-ชาวนา-ชาวประมง นั่นแหละ”
อย่าลืม ๓๐-๔๐% ของคนไทยอยู่ในภาคเกษตร เมื่อบาทแข็ง เท่ากับสินค้าเกษตรส่งออกแพง
เมื่อแพง ก็ทำให้ส่งออกได้น้อย
เมื่อส่งออกได้น้อย พ่อค้าก็รับซื้อสินค้าเกษตรน้อย และเมื่อพ่อค้าส่งได้น้อยแถมบาทแข็ง เอาดอลลาร์ที่เคยขายได้ ๓๒-๓๓ บาท วันนี้แลกได้แค่ ๓๐ บาท เท่ากับขาดทุน (กำไร)
เมื่อเป็นอย่างนี้ พ่อค้าก็ต้อง “กดราคา” สินค้าเกษตรต่ำลงไปอีก หรือไม่ซื้อเลย
นั่นเท่ากับ บาทแข็ง กระทบเศรษฐกิจฐานรากโดยตรง
“แบงก์ชาติ” ต้องตัดสินใจสักอย่างแล้วหละว่า ระหว่าง
“เศรษฐกิจ-เงินเฟ้อ-ความเสี่ยงการเงิน”
ด้วยมาตรการตามทิศทางที่ทำ ตอบโจทย์ประเทศขณะนี้ “ได้สมดุล” กันมั้ย ระหว่าง ๓ เส้า นั้น
เท่าที่ดู เส้า “เศรษฐกิจกับเงินเฟ้อ” ยังแก้ไม่ได้
เส้า “เสถียรภาพทางการเงิน” เท่านั้น รูปทรงยังสมาร์ท!
อาจจะบอกว่า ตอนนี้ “สงครามการค้า” ยิ่งทรัมป์ล่อจีนอีก ๑๐% จากสินค้าจีนน้ำเข้าสหรัฐฯ รวมเป็น ๓ แสนล้านดอลลาร์
นั่นอาจทำให้การเกินดุลเดินสะพัดลดลง เพราะทำให้ขายของได้ลดลงด้วย
บวกกับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะจีนลดหดหาย เงินนอกที่นำเข้ามาแลกก็จะหายไปในส่วนนี้ด้วย
เมื่อเงินนอกไหลเข้าน้อย บาทก็จะ “อ่อนค่า” ตามหลักดีมานด์-ซัพพลาย นั้น
ผมว่า “ไม่ง่าย” ที่จะอ่อนได้เองเร็วตามสมการนั้น ในเมื่อไทย “มาตรฐานโลก” ซะขนาดนั้น
ยังไงๆ เงินทุนนอก ก็ยังไหลเข้ามาหากินส่วนต่างอยู่ดี ในเมื่ออัตราดอกเบี้ยเขาประกาศลดกันโครมๆ แต่ของเราไม่ขึ้น-ไม่ลง ยังคง ๑.๗๕% เหมือนเดิม
บาทแข็ง ใช่ว่าไม่ดี แต่ปัญหาว่า มันตอบโจทย์ประเทศขณะนั้นๆได้มั้ย?
โจทย์ขณะนี้ คือ สินค้าหลักของเราที่ขายแล้ว คนปลูกก็ได้ คนกลางก็ได้ คนค้าก็ได้ ๑๐๐ บาท อยู่กับคนไทยทั้งร้อย คือ “สินค้าเกษตร”
ไม่ใช่ รถยนต์ อะไหล่ยนต์ ชิ้นส่วนอิเลคโทรนิก ซึ่งเป็นสินค้า “รับจ้างผลิต-รับจ้างประกอบ” ร้อยบาท ได้ติดประเทศซัก ๑๐ บาท!
ผมเห็นด้วย ที่แบงก์ชาติต้องรักษาเสถียรภาพการเงินของประเทศ
แต่ผมเชื่อฝีมือ “คนแบงก์ชาติ” ถ้าจะทำให้บาทอ่อนโดยสหรัฐฯไม่ค้อน “ทำได้” แน่
เพราะมียังมีเครื่องมืออื่น นอกจากแทรกแซงค่าบาทและลดดอกเบี้ยอีกเป็นกระตั๊ก
อยู่ที่ท่านผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ “วิรไท สันติประภพ” เท่านั้น ด้วย “มาตรฐานท่าน-มาตรฐานการเงินไทย” จะใช้วรยุทธไหนช่วยให้ “บาทอ่อน” อย่างสมาร์ทๆ เพื่อให้ห่วงโซ่ “ส่งออก-เกษตรกรไทย” ยังพอ “ยิ้มกันได้” ในหน้าแห้งๆ!