วันที่ ‘ดร.โกร่ง’ เตือน ‘ยิ่งลักษณ์’ – ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

เงียบกริ๊บ..

ยังไม่มีเสียงตอบโต้แบงก์ชาติ ออกมาจากพรรคเพื่อไทย

อาจตั้งหลักอยู่

หรือไม่ก็ใบ้กิน

แต่ในภาพรวม การปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ชี้แจงใดๆ ในทันที ถือเป็นการหลบเลี่ยง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ต้องใช้เงินของแผ่นดินมากถึง ๕.๕ แสนล้านบาท

อีกแค่ ๒ สัปดาห์กว่าๆ ประชาชนก็ต้องเข้าคูหาเลือกตั้งกันแล้ว ดูเหมือนว่าพรรคเพื่อไทยต้องการให้เรื่องนี้คลุมเครือต่อไป

เพราะนโยบายแจกหัวละหมื่นยังเป็นเหยื่อล่อชั้นดี ให้ประชาชนตกหลุมพราง เพื่อเป้าหมายชนะเลือกตั้งแลนด์สไลด์

แต่หลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น เหมือนไปตายเอาดาบหน้า ทั้งพรรคเพื่อไทย และประชาชน

จะปล่อยให้นโยบายพรรคการเมืองที่เห็นกันอยู่แล้วว่าจะสร้างปัญหาให้แก่ระบบเศรษฐกิจของประเทศในวันข้างหน้า ดำเนินต่อไปอย่างนี้หรือ

เห็น “เศรษฐา ทวีสิน” หอบหิ้วครอบครัวเพื่อไทยไปช่วยปราศรัยที่ภูเก็ต ก็สบายตาดีครับ

ที่ภูเก็ตวันนี้เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง

“เศรษฐา” แวะชิม “โอ้เอ๋ว”

บอกว่า เป็นของโปรด มาทานเป็นประจำ

นึกถึงภูเก็ตเมื่อ ๒-๓ ปีที่แล้วครับ แทบจะล้มหายตายจาก

โควิดมา นักท่องเที่ยวหาย

ชาวบ้านเดือดร้อนหนัก

มาถึงวันที่รัฐบาลลุงตู่ประกาศนโยบาย ภูเก็ต แซนด์บอกซ์ วันนั้นคือวันเริ่มต้นแห่งความหวังครั้งใหม่ ภูเก็ต จะกลับมาเฟื่องฟูเหมือนเดิม

นึกย้อนไปมันก็ไม่ง่าย

ภูเก็ต แซนด์บอกซ์ เป็นนโยบายเปิดประเทศช่วงแรกๆ ที่โลกจับตามอง

วันนั้นนักการเมืองไทยด่ายับครับ โดยเฉพาะฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทย กับก้าวไกล

เหน็บแนมว่าเป็นเรื่องขายฝันบ้างล่ะ

ปราสาททรายบ้างล่ะ

แต่ต่างชาติจ้องตาไม่กะพริบ

คล้อยหลังไปไม่เท่าไหร่ ภูเก็ต แซนด์บอกซ์ ถูกก๊อปปี้ไปทั่วโลก

ภูเก็ตวันนี้คือความสำเร็จของชาวภูเก็ต แม้จะยังไม่กลับมาเต็มร้อย แต่ถือว่าดีขึ้นมาก

ถ้าถอยเพราะพรรคเพื่อไทย ก้าวไกล เอาแต่ด่าเมื่อวันนั้น การกระเตื้องอาจไม่เท่าวันนี้

ครับ…นี่คือตัวอย่างของการคิดนโยบาย ว่าใครทำเพื่อใคร

ย้อนไปดูโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลเพื่อไทย

ก็อย่างที่รู้ๆ กันดีอยู่แล้วครับว่า ผลเสียจะตามมามากมาย รัฐบาลเพื่อไทยได้คะแนน แต่ประเทศได้รับความเสียหาย

ผู้รู้ออกมาเตือนมากมาย รัฐบาลก็ไม่ฟัง ก็คงจะถึงบางอ้อกันทีหลังว่าไม่ฟังเพราะไร

การติดคุกของ “บุญทรง เตริยาภิรมย์” สามารถนำมาอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างหมดจด เพราะมีขบวนการโกงเป็นเครือข่ายอยู่ในรัฐบาล

“ดร.โกร่ง-วีรพงษ์ รามางกูร” ในวันที่เป็นถึง ประธานที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกมาเตือนว่ารัฐบาลจะพังเพราะโครงการรับจำนำข้าว

วันนั้น “ยิ่งลักษณ์” บอกว่าไม่โกรธ เพราะรัฐบาลมีระบบตรวจสอบที่เข้มแข็ง

หากย้อนเวลากลับไปได้ “ยิ่งลักษณ์” ไม่น่าจะพูดแบบเดิม

แต่ทุกอย่างไม่หวนกลับ โครงการรับจำนำข้าวมีความผิดพลาด เพราะมีการทุจริตอย่างกว้างขวาง ทั้งพ่อค้า นักการเมือง ข้าราชการ โรงสี

ความเสียหายจริงๆ ตัวเลขอยู่ที่กว่า ๕ แสนล้านบาท

กลับไปที่เสียงเตือนจาก “ดร.โกร่ง” กันอีกสักครั้งครับ

…นโยบายและมาตรการอันหนึ่งที่น่าห่วงเพราะใช้เงินเป็นจำนวนมาก มีปัญหาทั้งทางทฤษฎีและการปฏิบัติ โครงการที่ว่านี้คือโครงการรับจำนำสินค้าเกษตร เช่น ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ข้าวโพด กุ้ง ฯลฯ

ฟังดูว่าจะใช้เงิน ๔ แสนล้านบาท มาหมุนเวียนซื้อสินค้าเกษตรเหล่านี้ นโยบายรับจำนำสินค้าเกษตรนี้เป็นนโยบายที่ล้มเหลวที่สุดตั้งแต่ทำกันมา ตั้งแต่ปี ๒๕๒๙ สูญเสียเงินละลายน้ำไปมากมาย โดยผลประโยชน์ไม่ได้ตกถึงมือเกษตรกรอย่างที่คิด ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ตกอยู่กับโรงสีผู้ส่งออก ลานตากมัน รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องพรรคพวกของนักการเมือง จึงไม่มีใครยอมเลิกโครงการนี้

เริ่มต้นชื่อก็ผิดแล้ว การรับจำนำนี้ปกติผู้รับจำนำต้องรับจำนำในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด โดยคาดว่าผู้จำนำจะมาไถ่คืน แต่การรับจำนำสูงกว่าราคาตลาดก็ไม่น่าจะเรียกว่าการรับจำนำ เพราะไม่มีใครมาไถ่คืนในราคาจำนำที่สูงแล้วเอาไปขายในราคาที่ต่ำในตลาด การตั้งชื่อว่าโครงการรับจำนำจึงเป็นการตั้งชื่อหลอกลวงประชาชนเท่านั้นเอง

สินค้าเกษตรทุกตัว ราคาจึงถูกกำหนดโดยตลาดโลก รวมทั้งมันสำปะหลังซึ่งเราเป็นผู้ส่งออกสำคัญเพียงรายเดียวของโลก เราจึงเป็น “ผู้รับราคา” หรือ “price taker” ไม่ใช่ผู้กำหนดราคา หรือ “price maker”

นอกจากนั้นสินค้าเกษตรทุกตัวมีปริมาณออกสู่ตลาดโลกตลอดเวลา การกักตุนเพื่อเก็งกำไรไม่สามารถทำได้ หรือการกักตุนของเราก็ไม่ทำให้ราคาตลาดโลกเปลี่ยนแปลง เพราะจะมีผู้ผลิตรายอื่นเสนอขายในตลาดโลกแทนเรา และถ้าเราเก็บไว้นาน ๓-๔ เดือน ก็จะมีผลผลิตใหม่ออกมาแทนที่ พอเราจะขายราคาก็จะตกทันที การกักตุน จึงมีแต่ขาดทุน นอกจากมีไว้เพื่อค้าขายปกติ

ฟังว่าจะใช้เงิน ๔-๕ แสนล้านบาทหมุนเวียนซื้อสินค้าเกษตรมากักตุน ก็เท่ากับคิดจะปั่นราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก หรือที่ภาษาฝรั่งเขาเรียกว่าจะ “corner the market” ตลาดโลกข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ข้าวโพด จึงเป็นไปไม่ได้ คนเคยทำแล้วล้มละลายก็มีมาก ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ ที่ล้มก็สืบเนื่องมาจากการพยายามปั่นตลาด

โครงการนี้จึงเป็นโครงการทำลายโครงสร้างตลาดข้าวภายในประเทศ โรงสีที่ไม่มีเส้นสายเข้าร่วมโครงการก็ล้มละลายไป เพราะไม่มีข้าวส่งออก ทำให้โรงสีมีน้อยลง โรงสีที่เคยมีการแข่งขันก็กลายเป็นการผูกขาดโดยโรงสีที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้เท่านั้น

เมื่อรัฐบาลจะขายข้าว ขายมัน ขายยาง โดยรับคำสั่งซื้อแล้วก็จะไม่ส่งออกเอง แต่มอบให้พ่อค้าผู้ส่งออกประมูลไป การประมูลก็ทำหลอกๆ เพราะมีการกำหนดเงื่อนไขคุณสมบัติให้ตรงกับผู้ส่งออกที่รัฐมนตรีกำหนดตัวไว้แล้วแบ่งกำไรกินกัน

นี่คือ การฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือคอร์รัปชันจากโครงการจำนำสินค้าเกษตรรอบสอง รัฐบาลเสียเงินขาดทุนมากมาย ส่วนเกษตรกรไม่ได้อะไรเลย ขายของได้ในราคาตลาดเท่านั้นเอง ที่ประชาธิปัตย์ทำไว้โดยการประกันรายได้นั้นดีแล้ว จ่ายส่วนต่างระหว่างราคาตลาดกับราคาประกันตรงให้ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวนเลย ถ้าชาวนา ผู้ใหญ่บ้าน กำนันจะโกง ก็ยังดีกว่าโรงสีผู้ส่งออก รัฐมนตรีโกง…

ก็เหมือนหลับตาเห็นครับ “ดร.โกร่ง” ผู้ล่วงลับ พูดเอาไว้เมื่อปี ๒๕๕๕ ก่อนที่ “บุญทรง” จะติดคุก “ยิ่งลักษณ์” จะหนี

มาวันนี้พรรคเพื่อไทยจะเอาเงินแผ่นดินอีก ๕ แสนล้านไปแจกประชาชนอ้างว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ เตือนแล้ว จะเป็นการบั่นทอนเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศเสียมากกว่า

ผลาญไปทีละ ๕ แสนล้านไหวหรือครับ

Written By
More from pp
“ศักดิ์สยาม” วางศิลาฤกษ์โครงการก่อสร้าง “สะพานข้ามทะเลสาบสงขลา เชื่อมพัทลุง – สงขลา” เดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน ส่งเสริมเศรษฐกิจการขนส่งและท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
18 มีนาคม 2565-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา จังหวัดพัทลุง
Read More
0 replies on “วันที่ ‘ดร.โกร่ง’ เตือน ‘ยิ่งลักษณ์’ – ผักกาดหอม”