ผักกาดหอม
อยากให้จำคำพูดของนักการเมืองในวันหาเสียงเอาไว้ครับ
แล้วดูว่าหลังเลือกตั้ง จะพลิกลิ้นหรือเปล่า
มีหลายประเด็นให้จำ
ทั้งเรื่องนโยบาย หาเสียงไปแล้ว ถึงเวลาทำจริงหรือเปล่า
ทำไม่ได้มีข้ออ้างอะไร
รวมไปถึงการจัดตั้งรัฐบาล
โฟกัสไปที่การจัดตั้งรัฐบาล หลายพรรคพยายามจับขั้ว หรือไม่ก็พยายามเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในขั้ว เพื่อการันตีความเป็นรัฐบาล
บางพรรคก็พลิกลิ้นไปมา แกนนำแต่ละคนพูดไม่ค่อยจะตรงกัน ว่าแนวทางการจัดตั้งรัฐบาลเป็นอย่างไรกันแน่
ยึดขั้วการเมืองเก่า
หรือสลายขั้ว
ดูพรรคเพื่อไทยเป็นตัวอย่าง จำให้แม่นนะครับ
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา “เศรษฐา ทวีสิน” ไปปราศรัยที่จังหวัดเลย เรื่องการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
“…ทางพรรคเรามีคำถามตลอดว่า หลังเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย จะไปร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ หรือไม่ ก็ถามว่าพี่น้องอยากให้ไปร่วมหรือไม่ พอแล้ว ๘ ปีที่ผ่านมา ยืนยันชัดเจนว่าไม่จับมือกับสองพรรคนี้
เพราะ ๒ พรรคนี้มีส่วนร่วมในการทำรัฐประหาร ปล้นอำนาจอธิปไตยประชาชน บอกว่า เราเป็นเรือใหญ่ เขาเป็นเรือเล็กพายอยู่ข้างๆ ไม่ต้องมาอยู่ข้างๆ ต่างคนต่างอยู่ ไม่ร่วมกันแน่นอน…”
จำไว้นะครับ ถ้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ เป็นหมา
การพูดเรื่อง รัฐประหาร ประชาธิปไตย ถือเป็นเรื่องอุดมการณ์
ฉะนั้นจะเปลี่ยนไม่ได้
เพราะคนที่เปลี่ยนอุดมการณ์ ถือเป็นพวกปากปลิ้นปล้อน ทุกอย่างขึ้นกับผลประโยชน์มากกว่าสามัญสำนึก
รัฐบาลหน้า เพื่อไทย ต้องอยู่คนละขั้วกับ พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ หากผิดไปจากนี้ เชิญรุมเหยียบ “เศรษฐา ทวีสิน” ได้ครับ
แต่… “เศรษฐา” คือคนที่มีอำนาจเคาะแน่หรือ ว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาลกับใคร
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็นับว่ามีประชาธิปไตยอันสมบูรณ์เกิดขึ้นในพรรคเพื่อไทยแล้ว
ฟ้าเปิดแล้ว
รั้วที่กั้นคอก ถูกทลายลงแล้ว
ขอแสดงความยินดีปรีดาด้วย
แต่ๆๆๆ….มีใครเชื่อว่าจะเกิดเรื่องที่ว่านี้บ้าง
ฟัง “ธรรมนัส พรหมเผ่า” พูดเรื่องนี้แล้ว สงสาร “เศรษฐา” ขึ้นมาจับใจ
“…ต้องถามว่าคนที่ออกมาพูดเป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจหรือไม่
บางคนเวลาไมค์จ่อปากก็พูดเอามัน ลืมไปว่า อ้าว ผมไม่ได้มีอำนาจในการตัดสินใจ เรื่องของพรรคเป็นเรื่องของกรรมการบริหารพรรคในการตัดสินใจ…”
ก็ตามนั้นแหละครับ
ลูกสาวเจ้าของพรรคยังออกลูกกั๊ก แล้ว “เศรษฐา” เป็นใคร
ย้ำอีกที การประกาศไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคที่มีบุคคลเคยทำรัฐประหาร จะพูดพล่อยๆ ไม่ได้ มันเป็นเรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง
จะอ้างทีหลังว่า พูดเพื่อหาเสียงก็ไม่ได้ เพราะเท่ากับหลอกประชาชน
ต้มตุ๋นแม้กระทั่งตัวเอง
หากปรากฏในภายหลังว่าพรรคเพื่อไทยร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ “เศรษฐา” ต้องแสดงสปิริต
ลาออก!
ออกจากทุกตำแหน่งในพรรคเพื่อไทย
เพราะมันเท่ากับพรรคเพื่อไทยทรยศต่อความคิดและอุดมการณ์ของ “เศรษฐา”
จำให้แม่นนะครับ
ก็ต้องยอมรับครับว่า รัฐประหาร คือจุดอ่อนของ “ลุงตู่-ลุงป้อม”
การทำรัฐประหารถือเป็นภัยคุกคามตัวฉกาจต่อระบอบประชาธิปไตย
แต่สิ่งที่ทำลายประชาธิปไตย มิได้มีเพียงรัฐประหารเท่านั้น
นักการเมืองโกงกิน แล้วอวดอ้างตัวว่าอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย ทำลายประชาธิปไตยได้ย่อยยับกว่ารัฐประหารมาก
ขึ้นชื่อว่า รัฐประหาร มีความหมายในตัวมันเองว่า ไม่ใช่ประชาธิปไตย ฉะนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน
ชั่วร้าย คือ ชั่วร้าย
แต่คนโกงแล้วอ้างว่าอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยนี่สิครับ มันทำให้เสียทั้งความรู้สึก เสียทั้งความนับถือ เสียทุกอย่าง
มันชั่วแต่แอบว่ามีอุดมการณ์
การเมืองหลังจากนี้ในเมื่อพรรคเพื่อไทยบอกว่า จะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคการเมืองที่มีส่วนในการทำรัฐประหาร พรรคการเมืองอื่นก็ควรประกาศให้ชัดเจน
ประกาศไปเลยจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคการเมืองที่สนับสนุนรัฐบาลคอร์รัปชัน
จะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคที่เคยมีรัฐมนตรีติดคุก นายกฯหนี
เพราะนี่คือบาดแผลการเมืองไทย
เรามีพรรคการเมืองที่เคยมีอำนาจ และใช้อำนาจอย่างทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดการรัฐประหาร
พรรคเพื่อไทยไม่เคยขอโทษประชาชน จากกรณีการติดคุกคดีคอร์รัปชันของรัฐมนตรี และการหนีไปต่างประเทศของนายกฯ
อ้างแต่เพียงว่า เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง
เมื่อประชาชนมีส่วนอย่างมากในการกำหนดว่า พรรคไหนจะได้เป็นรัฐบาล ก็ถึงเวลาต้องตัดสินใจ
จะให้พรรคการเมืองที่นักการเมืองในพรรค ถูกศาลสั่งจำคุกคดีโกงมาหลายคน แต่ยังไม่สำนึก แถมเจ้าของพรรคชี้นิ้่วสั่งซ้ายหันขวาหันได้ มาเป็นรัฐบาล
หรือพรรคการเมืองที่มีส่วนร่วมในการทำรัฐประหารเพราะพบว่ามีนักการเมืองโกง มาเป็นรัฐบาล
“….ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้…”
พระบรมราโชวาท ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ไม่ล้าสมัยเลยครับ
