เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2566 เวลา 18.00 น. ที่สนามหน้าที่ว่าการอำเภอพานทอง จ.ชลบุรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้นำทีมผู้สมัคร ส.ส.ชลบุรี พรรค รทสช.ขึ้นเวทีปราศรัยช่วยนายสุรพงศ์ นำชัยรุจิพงศ์ หรือ สจ.ตี๋ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 ชลบุรี ชูผลงานและนโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติที่ทำเพื่อพี่น้องประชาชน ซึ่งมีการถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจของ สุชาติ ชมกลิ่น ด้วย
โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีแฟนคลับของนายสุชาติและพรรค รทสช. ชาวพานทองต่างพร้อมใจกันสวมเสื้อสีเหลืองมารับฟังการปราศรัยอย่างแน่นขนัดหลายพันคนเต็มพื้นที่สนามที่ว่าการอำเภอพานทอง จ.ชลบุรี
โดยในช่วงแรกก่อนขึ้นเวทีปราศรัย นายสุชาติได้นำทีมผู้สมัครพรรค รทสช.เขต 3 ชลบุรี สักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ประดิษฐานบริเวณสนามหน้าที่ว่าการอำเภอพานทอง เพื่อความเป็นสิริมงคล
จากนั้นได้ขึ้นเวทีกล่าวถึงเหตุผลที่มาอำเภอพานทองในวันนี้ ตนต้องการมาพบปะกับพ่อแม่พี่น้องและตั้งใจมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ซึ่งอนุสาวรีย์แห่งนี้ตนได้มีส่วนร่วมในการก่อตั้ง มีชื่อตนสลักอยู่ในแท่นหินอ่อน สาเหตุที่ต้องมีส่วนร่วมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือนั้น
ตนได้สอนลูกชายอยู่เสมอว่า ถ้าไม่มีรัชกาลที่ 5 เราก็ยังเป็นลูกทาสเหมือนกัน เป็นสิ่งที่ตนพูดและอบรมสั่งสอนลูกชายทั้งสองคนมาตลอดให้จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จนถึงทุกวันนี้
นายสุชาติ ได้กล่าวถึงผลงานการแก้ไขปัญหาโควิด-19 จากนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่า ในช่วงที่เกิดโควิดถ้าไม่มีนายกที่ชื่อลุงตู่ ประเทศไทยไม่มีวันนี้ ทั่วโลกต่างยอมรับในการแก้ปัญหาโควิดของไทย ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของพี่น้องประชาชน
ในช่วงวิกฤตโควิดโรงพยาบาลต่างๆ ไม่สามารถรองรับผู้ป่วยโควิดได้เพียงพอ ตนเห็นใจในความเดือดร้อนของพี่น้องผู้ใช้แรงงานเหมือนคนในครอบครัวที่ตรวจพบเชื้อโควิดแต่ไม่มีที่รักษา จึงได้ให้สำนักงานประกันสังคมเช่าโรงแรมกว่า 50,000 ห้อง ทำเป็น Hospitel รักษาผู้ประกันตน
ทำโครงการแฟคทอรี่แซนบ็อก ภายใต้หลักเศรษฐศาสตร์ควบคู่สาธารณสุข ตรวจคัดกรองโควิดแบบ RT- PCR 100 เปอร์เซ็นต์ให้พี่น้องผู้ใช้แรงงาน ถ้าตรวจพบเชื้อนำตัวไปรักษาที่ Hospitel ที่เหลือขอวัคซีนจากกระทรวงสาธารณสุข
ซึ่งนายกลุงตู่ได้อนุมัติวัคซีนนำไปฉีดให้กับพี่น้องผู้ใช้แรงงานในโรงงาน โดยไม่ต้องปิดโรงงาน พี่น้องผู้ใช้แรงงานจะได้ออกไปทำงานได้โดยไม่นำเชื้อโควิดมาติดคนที่บ้าน จึงเกิดวัคซีนมาตรา 33 ขึ้นมา
ทั่วโลกไม่มีกระทรวงแรงงานใดนำวัคซีนมาฉีดในโรงงานมีเพียงประเทศไทยประเทศเดียวที่ได้ทำให้สร้างขวัญกำลังใจให้ผู้ใช้แรงงาน ธุรกิจส่งออกสินค้าได้เหมือนเดิม สามารถรักษาการจ้างงานเอาไว้ได้ จนประเทศไทยชิงส่วนแบ่งการตลาดจากประเทศเพื่อนบ้านที่ซัพพลายเชนปิดได้
โดยบริษัทยานยนต์หลายแห่งได้จ่ายโบนัสให้พนักงานสูงสุดถึง 8.5 เท่า เศรษฐกิจส่งออกเติบโตสูงสุดในรอบ 30 ปี สวนทางกับเศรษฐกิจโลก เป็นผลพวงจากโครงการแฟคทอรี่แซนบ็อก
นอกจากนี้ ยังได้เยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เนื่องจากสถานประกอบกิจการปิดชั่วคราว เช่น ห้างสรรพสินค้า แคมป์คนงาน แต่ไม่ปิดโรงงานทำให้ภาคธุรกิจส่งออกสามารถรักษาการจ้างงานต่อไปได้ ลดเงินสมทบให้แก่ผู้ประกันตนเพื่อรักษาการจ้างงาน 12 ล้านคน
รักษาธุรกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ จ่ายเงินเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 40 เฉพาะที่จังหวัดชลบุรี กว่า 7 แสนคน คนละ 10,000 บาท คิดเป็นเม็ดเงินกว่า 7,000 ล้านบาท รัฐบาลให้เงิน SME หัวละ 3,000 บาท สามารถรักษาการจ้างงานไว้ 5.5 ล้านคน การเปิดประเทศฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียในรอบ 32 ปี
ซึ่งไม่มีรัฐบาลใดทำสำเร็จมีเพียงในยุครัฐบาลที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น ซึ่งได้ไปเปิดประเทศเพื่อส่งออกแรงงานไปทำงานในซาอุดีอาระเบีย
นายสุชาติ ยังกล่าวถึงสิ่งที่พรรค รทสช.จะทำเพื่อพี่น้องผู้ใช้แรงงานและพี่น้องประชาชนเมื่อกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง อาทิเช่น บัตรสวัสดิการพลัส บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า บัตรลุงตู่ จากเดิมที่เคยให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยวงเงิน 300 – 400 บาท จะเพิ่มเป็น 1,000 บาทต่อเดือน การผลักดัน พ.ร.บ.ประกันสังคม 3 ขอ ให้แล้วเสร็จ เพื่อให้สามารถคืนเงินชราภาพผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 จำนวน 30 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งเงินในส่วนนี้ไม่ใช่เงินของรัฐบาล แต่เป็นเงินของกองทุนประกันสังคม ให้ผู้ประกันตนได้นำไปใช้ก่อนได้ เพิ่มเงินชราภาพ อายุ 55 ปี เป็น 10,000 บาท รวมทั้งปรับเพิ่มเงินเลี้ยงดูแลบุตร จากเด็กแรกเกิดจนถึง 6 ขวบ จากเดิม 800 ปรับเป็น 1,000 บาท ผู้ประกันตนมีประมาณ 12 ล้านคน
ตนจะเสนอให้มีโรงพยาบาลประกันสังคมเพื่อรักษาดูแลผู้ประกันตนยามเจ็บป่วย เป็นความภาคภูมิใจของผู้ใช้แรงงาน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นนโยบายที่คิดไว้ทั้งหมดแล้วเพื่อสร้างรากฐานความมั่นคงให้กับพี่น้องผู้ใช้แรงงาน
นายสุชาติ ได้เน้นย้ำว่า ตนมีอุดมการณ์ที่เข้ามาอาสาเป็นนักการเมือง เพื่อรับใช้พี่น้องประชาชน ไม่ใช่มาเป็นเจ้านายประชาชน ในช่วงโควิดระบาดตนและทีมงานเฮ้งพึ่งได้ลงพื้นที่ร่วมฉีดพ่นยา สเปรย์ฆ่าเชื้อโควิดและมอบข้าวสาร ไข่ไก่ เครื่องอุปโภคบริโภค
เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชนชาวชลบุรี รู้ว่าเสี่ยงแต่ไม่กลัวว่าตัวเองจะติดเชื้อ “เพราะหัวใจผมใหญ่กว่าตับ” คิดเพียงอย่างเดียวว่าถ้าตนไม่ลงไปช่วยพี่น้องประชาชนแล้วพี่น้องประชาชนจะพึ่งใคร ซึ่งต่างๆ ที่ตนทำมาทั้งหมด
ส่วนกรณีการให้เงินดิจิทัลผู้ที่อายุ 16 ปีขึ้นไปหัวละ 10,000 บาท ของพรรคการเมืองหนึ่งนั้น เป็นการให้เงินหมุนเวียนในระยะสั้นๆ ไม่เป็นระบบที่ถูกต้อง เรียกว่า การปั่นจีดีพีเทียม เพื่อให้ทุกคนมองว่าเศรษฐกิจจะโตเร็ว แต่ความจริงจะทำให้ประเทศเสียหายเป็นหนี้ขึ้นมาในอนาคต
เช่นเดียวกันกับนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท โดยส่วนตัวมองว่า ต้องยึดมั่นในระบบไตรภาคี เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมของเศรษฐกิจภูมิภาค จีดีพีรายได้ต่อหัวแต่ละจังหวัดด้วย ไม่ใช่นโยบายค่าแรงที่มาจากนักการเมือง วิธีแก้ปัญหาต้องนำแรงงานมาฝึกทักษะ ฝึกอาชีพ เพื่อให้ได้ค่าแรงตามมาตรฐานฝีมือที่ได้ประกาศไปแล้ว 129 สาขาอาชีพ พี่น้องผู้ใช้แรงงานจะได้พ้นกับดักค่าแรงขั้นต่ำ มีความมั่นในชีวิต มีรายได้ที่สูง” นายสุชาติ กล่าว
ในช่วงท้าย นายสุชาติ ยังกล่าวถึงเหตุผลที่สมัคร ส.ส.ปาตี้ลิสเพราะถ้าลงสมัคร เขต 1 ชลบุรีได้เป็น ส.ส.คนเดียว แต่ถ้าขึ้นบัญชีรายชื่อสามารถไปช่วยลุงตู่หาเสียงได้ทั้งประเทศ และลงไปช่วยเพื่อน ๆ ทุกเขตได้ ตนตั้งใจและขอปวารณาตัวเองว่าทีมเฮ้งพึ่งได้พร้อมเป็น ส.ส.ให้กับพี่น้องชาวชลบุรีได้ทั้งจังหวัด และเชื่อมั่นว่าลุงตู่เป็นผู้นำที่แก้ปัญหาโควิดได้ดีที่สุด ตนจึงเลือกที่จะมาช่วยลุงตู่ ยืนยันเป็นนักการเมืองที่ไม่ได้ทำเพื่อครอบครัว ทำเพื่อพี่น้องประชาชน ให้อยู่ดี กินดี มีที่พึ่ง
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 23 เมษายนนี้ นายสุชาติและทีมเฮ้งพึ่งได้จะไปปราศรัยพบปะกับพี่น้องชาวศรีราชาที่สวนสาธารณะเทศบาลนครแหลมฉบัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ตั้งแต่เวลา 17.00 น.เป็นต้นไปด้วย
