คลิกฟังบทความ…?
เปลว สีเงิน
เช้าวาน…
ลุ้นซะปวดกระเพาะปัสสาวะ กลัวสภานัด “ด่าฟรี” ส่งท้ายจะล่ม
แต่ก็ “ครบองค์ประชุม” ไปแบบต้องลุ้นอย่างว่านั่นแหละ!
พิธีกรรม “ด่านายกฯ ฟรี” ก็ดำเนินการไปได้
ท่ามกลางจำนวนสส.ที่เหลือกระร่อย-กระหริบ จนผีกลัวผีสภาหลอก
เหตุที่ “ไม่ล่ม”
เพราะงาน “ด่านายกฯฟรี” (๑๕-๑๖ กพ.๖๖) นี้ ฝ่ายค้าน-เพื่อไทย เป็นเจ้าภาพ จึงมาเสียบบัตรกันครบ
ส่วนเหตุที่ล่มเป็นประจำ
เพราะฝ่ายรัฐบาลเป็นเจ้าภาพประชุมผ่านร่างกฎหมาย ฝ่ายค้านไม่ช่วยงาน คือมา…แต่ไม่เสียบบัตรเป็นองค์ประชุม บวกกับสส.ฝ่ายเจ้าภาพ “สันหลังยาว”
สภาก็เลย “ล่มสร้างสถิติ”!
ผมก็ฟังบ้าง-ไม่ได้ฟังบ้าง เพราะรู้อยู่ ญัตติอภิปรายทั่วไป เป็นญัตติ “ตีหัวเข้าบ้าน” ของฝ่ายค้าน เสริมการหาเสียง แบบมีโทรทัศน์ถ่ายทอดให้ฟรี
เท่าที่ฟัง ฝ่ายค้านก็แผ่นเสียงตกร่องอยู่ ๓-๔ ประเด็นเดิมๆ โดยไม่ลืมตาดูโลกว่า ประเด็นที่พูดกับจริงที่เป็นวันนี้
มันตรงกันมั้ย?
เอาแต่ “อคติ-คิดแค้น” เป็นตัวตั้ง
แล้วก็ด้อยค่านายกฯ ไปเรื่อย หลายเรื่อง รัฐบาลทำจนเห็นทนโท่ตำตา แต่ฝ่ายค้านก็ยังหลับหู-หลับตาพูด “สวนทาง” กับข้อเท็จจริงที่รัฐบาล “แก้ไข-พัฒนา” แม้แต่คนพิการตายังรู้
แต่พวก “พิการใจ” ทั้งไม่รู้ และไม่เห็น น่าสมเพชจัง!
มันก็เลยกลายเป็นว่า ที่ด่าหวังประจานรัฐบาล มันย้อนกลับประจานฝ่ายค้านซะเอง
ทั้งเรื่องที่ว่า ๘ ปี รัฐบาลทำเศรษฐกิจพัง, ประชาชนจะอดตาย, ประเทศล้าหลัง ไม่มีการพัฒนา, การท่องเที่ยว-เทคโนโลยีสื่อสารเฮงซวย และฯลฯ
ผมฟังจน “หูจำ” ได้เองว่า ประเด็นที่ยกมาด้อยค่ารัฐบาล ๘ ปี จาก ๒๕๕๗-๒๕๖๖ ฝ่ายค้านก็ด่าเรื่องเหล่านี้ ก๊อปปี้เดิมๆ
เปิดกะโหลก ลืมตา แล้วรูดซิป ให้เรียบร้อย จากนั้น มองประเทศไทยไปรอบๆ ซีครับ
ถ้าจะให้ดี ไปหาภาพเก่าๆ ของประเทศไทย ทั้งเหนือ-ใต้-ออก-ตก-อีสาน-กลาง และกรุงเทพฯ ในด้านการพัฒนา
โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและด้านโทรคมนาคม มาเปรียบเทียบกันดู
จะเห็น “ประเทศไทย” ถอดรูป จากก่อนปี ๕๗ ที่เพื่อไทยเป็นรัฐบาล “โกงจำนำข้าว” จนแทบไม่ได้
เผลอๆ บางคนอาจถาม…. “นี่ ที่ไหนเนี่ย?” ด้วยซ้ำ
ค่าที่ว่า กายภาพประเทศไทย ได้รับการพัฒนาแทบทุกด้านจน “เช้งวับ” ยิ่งกว่าไปทำศัลยกรรมหน้ามาจากเกาหลีซะอีก!
จะเอาด้านไหนก่อนล่ะ เอาเฉพาะที่ “โลก” เขาเห็นและเขายอมรับก็แล้วกัน เผื่อ “คนใจบอด” จะเปิดใจรู้บ้าง
ด้านการเงินนะ
ไทยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นอันดับ ๒ ของอาเซียน อันดับ ๑๖ ของโลก ดูเฉพาะด้านอาเซียนก็แล้วกัน
๑.สิงคโปร์ ๓๘๘,๒๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ
๒.ไทย ๒๑๖,๖๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ
๓.อินโดนีเซีย๑๓๗,๒๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ
๔.มาเลเซีย ๑๑๔,๖๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ
๕..ฟิลิปปินส์ ๙๖,๐๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ
๕ อันดับ พอเป็นสังเขป …….
เพื่อไทยเอียงหูมาใกล้ๆ ปากผมหน่อยซิ จะกระซิบอะไรให้ฟัง แล้วอย่าไปบอกใครนะ
“รัฐบาลประยุทธ์” กู้ชาติ-กู้เศรษฐกิจ จนไทยเรารวย ถึงขั้น IMF เตรียมขอกู้ ตั้งเพดานไว้ตั้ง ๑๔,๑๔๗ ล้านบาทแน่ะ”
เอ้า…ไปดูด้านเศรษฐกิจบ้าง จากผลสำรวจของต่างชาติ
“เอียน แพสโค” ประธานบริหาร “แกรนท์ ธอนตัน ประเทศไทย” มีผลสำรวจความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในประเทศไทย ครึ่งหลังของปี ๖๕
โดยสำรวจธุรกิจขนาดกลางทั่วโลก พบว่า ……….
“ธุรกิจไทย” เป็นผู้นำของโลกด้านสถานภาพทางธุรกิจและเป็นครั้งแรกในรอบ ๕ ปี ที่สภาพธุรกิจของประเทศไทย
มี “ปัจจัยบวก” แซงหน้าประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่งในกลุ่มที่เป็นฐานการลงทุน เช่น เวียดนาม สิงคโปร์
ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจที่เคยไปลงทุนในประเทศเหล่านั้น ย้ายกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
เพราะมีจุดแข็งในเรื่อง “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว รวมถึงการส่งเสริมให้เกิดการลงทุน และการอยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์”
พูดถึงรถยนต์…..
ไทยเป็นแชมป์อาเซียน “ส่งออกรถยนต์” ทั้งเก๋ง ทั้งกระบะ อันดับ ๑ สูงถึง ๑,๘๘๓,๕๑๕ คัน, อินโดฯอันดับสอง ๑.๔ คัน และ มาเลย์ อันดับสาม ๗ แสนกว่าคัน
และ…อ้อ ส่งออกของไทย ปี ๖๕
นำเงินเข้าประเทศ ๙.๙ ล้านล้านบาท สูงเป็นประวัติการณ์
รู้แล้ว อย่าเฉิ่ม หลับตาอภิปราย “รัฐบาลประยุทธ์บริหารไม่เป็น โง่ ทำเศรษฐกิจประเทศพังฉิบหาย” อีกล่ะ อายเค๊า!
แล้วดันคุย นายกฯ ประยุทธ์ “ลอกนโยบาย” เพื่อไทยไปทำ สะเหร่อดกจริงๆ
นโยบายเพื่อไทย “เพิ่งคลอด” มดลูกยังไม่ทันกลับเข้าอู่ด้วยซ้ำ แล้วพูดได้ไงว่า นายกฯ ลอกนโยบายไปทำ
ถ้าลอกปุ๊บวันนี้-ติดปั๊บพรุ่งนี้ นั่นมันไม่ใช่การทำงานด้านบริหาร-พัฒนาประเทศแล้วหละ โม้ไปเรื่อย
เอ้า….ดูอีกสถิติ ที่ว่า ๘ ปี มีแต่ล้มเหลวทุกด้านนั่นน่ะ ข่าวจาก “กรุงเทพธุรกิจ” หลายวันก่อน
“ไทยติดอันดับ ๑๐ ประเทศที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในเอเชีย อันดับ ๓ ในอาเซียน รองจากสิงคโปร์ และอินโดนีเซีย
ตัวชี้วัดที่แข็งแกร่งของไทยคือ…..
ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ อยู่ในอันดับที่ ๗
เป็นผลมาจากการเข้าร่วมซัพพลายเชนในภูมิภาคและมีความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนที่แข็งแกร่งกับประเทศที่ติดอันดับในดัชนีอิทธิพลเอเชีย
๑๐ อันดับประเทศที่ “ทรงอิทธิพลที่สุด” ในเอเชีย
๑.สหรัฐ ๒.จีน ๓.ญี่ปุ่น ๔.อินเดีย ๕.รัสเซีย ๖.ออสเตรเลีย
๗.เกาหลีใต้ ๘.สิงคโปร์ ๙.อินโดนีเซีย และ ๑๐.ไทย
เอาด้าน “การท่องเที่ยว” บ้าง เห็นอภิปรายเหมือนคนเพิ่งหลุดจากหลังเขา ไม่รู้โลก-รู้ความเขาเลย
“ทริป แอดไวเซอร์” เว็บไซต์ด้านการท่องเที่ยวเผยการจัดอันดับจุดหมายปลายทางเพื่อการอาหารของโลกปี ๒๕๖๖
“บางกอก-ประเทศไทย” ติดอันดับ ๑๓ ของโลก
“กรุงเทพประกอบไปด้วยพระราชวังสีทองอร่าม ตลาดน้ำ เจดีย์ ที่ประดับด้วยเครื่องเคลือบ คุณจะไม่เห็นเมืองหลวงที่ใดเหมือนกรุงเทพ
ลองไปลิ้มรสชาติข้าวเหนียวมมะม่วงและชิมอาหารอีกมากมาย ก่อนที่จะเข้าเยี่ยมชมพระมหาราชวัง”
และประเทศไทย ได้รับการยกย่องว่า….
“เป็นสถานที่ดีที่สุดในโลกของการท่องเที่ยว ติดอันดับ ๑ ในจำนวน ๒๓ ประเทศของโลก”
และจำได้มั้ย นายกฯประกาศตั้งแต่ตอนกลางปี ๖๕ ว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามาไทยถึง ๑๐ ล้านคนก่อนสิ้นปี
หัวเราะเยาะกันเกรียว……
แล้วเป็นไง ยังไม่ทันสิ้นปี ๖๕ ดี ทะลัก-ทะลายเข้ามาถึง ๑๑ ล้านคน และปี ๖๖ นี้ เบาะๆ จะเข้ามาถึง ๒๕-๓๐ ล้านคน
จากรัฐบาลทักษิณถึงยิ่งลักษณ์ เคยทำได้ซักครึ่งนี้มั้ยทั้งที่ตอนนั้น โลกปกติ และไม่มีโควิด!?
ตอนนี้ ที่ปวดหัว ไม่ใช่ “ขาดนักท่องเที่ยว” หากแต่ “ขาดแรงงาน” มารองรับการท่องเที่ยว!
ภูเก็ตต้องการด่วน ๑๗,๐๐๐ คน เชียงใหม่ ๙,๐๐๐ คน ชลบุรี ๓,๐๐๐ คน
นี่เฉพาะตอนต้นปีนะ แล้วจากนี้ไปจนสิ้นปี แรงงานต้องเป็นแสนคนถึงจะพอ
ทางที่ดีและทางที่รุ่ง ครอบครัวเพื่อไทย “ยกคอก” ไปเป็นแรงงานบริการ น่าจะรุ่งกว่ามาเป็นท่านผู้ทรงเกียรติที่ “ทื่อ-โง่ และแสนทราม” อย่างทุกวันนี้
ดูด้าน “ไอที” บ้าง เห็นคุย เพื่อไทยเป็นรัฐบาลจะทำให้ ๑ ตำบล มี ๑ ผู้ชำนาญการไอที
รู้หรือเปล่า…….
ณ วันนี้ ไทยเป็น “อันดับ ๒ ของโลก” ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต “เร็วที่สุดในโลก”
อันดับ ๑ สิงคโปร์ ๑๘๔.๖๕ mbps อันดับ ๒ ไทย ๑๗๑.๓๗ mbps อันดับ ๓ จีน ๑๔๖.๖๒ mbps
เรียกว่าเหนือ สหรัฐฯ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส ด้วยซ้ำ
แถม 5 G ของไทย ได้รับการยอมรับ “ดีที่สุด” ในอาเซียน
เท่านี้พอมั้ง…มากนัก เดี๋ยวพื้นที่สมองคนในคอกจะไม่พอบรรจุ
เห็นคุยเหลือเกินว่า นโยบายของเพื่อไทยเจ๋ง แต่เป็นรัฐบาลมาก็หลายนอมินี เห็นมีแต่เจ๊ง
เอางี้ซี ไม่ต้องยาว เอาที่เป็นรูปธรรม “พูดได้-ทำได้” คนฟังปุ๊บ รู้ปั๊บว่า “เพื่อไทย” ผมจะบอกให้
ง่ายๆ สั้น…แต่ดังเปรี้ยง
“MY dad is โกง”!
เปลว สีเงิน
๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖