ผักกาดหอม
ไม่จบ….
วานนี้ (๒๕ มกราคม) บิ๊กๆ ในพรรคเพื่อไทยลงความเห็นร่วมกันว่า ไม่ตอบโต้ “จตุพร พรหมพันธุ์”
ก็ทำนอง โต้มา โต้กลับ กลายเป็นลากไส้ไม่จบ
คนที่จะเสียหายคือพรรคเพื่อไทย เพราะใกล้เลือกตั้งแบบนี้ ไม่รู้ว่า “จตุพร” ยังมีอะไรในมืออีกหรือไม่
ฉะนั้นไม่โต้ ปล่อยให้ “จตุพร” ค่อยๆ เงียบไปจะดีกว่า
ถือว่าพรรคเพื่อไทยเดินเกมได้ฉลาด
แต่…คนแบบ “ทักษิณ ชินวัตร” ไม่คิดแบบนั้น
ยอมได้ที่ไหน
ไปสุมหัวกับสมุนน้อยใหญ่ ด่า “จตุพร” กลับ
“…ผมมีคนเรียกหลายชื่อ ทักษิณ แม้ว โทนี่ คิดว่าจะเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ถูกเห่า ตลอด ๑๖ ปี ผมโดนเห่ามาตลอด ใครนึกอะไรไม่ได้ก็เห่าผมไว้ก่อน…”
“…ผมโดนประจำ ๑๖ ปีแล้ว เป็นเรื่องธรรมดา ผมเฉยๆ ผมโดนมาเยอะ โดนอีกสักตัวสองตัว ก็ไม่เป็นไร ผมปลง ผมเฉย โดนมาเยอะแล้ว…”
“…และความเป็นนักประชาธิปไตย ต้องอยู่กับประชาธิปไตย ไม่ใช่เดี๋ยวเป็นประชาธิปไตย เดี๋ยวเป็นประชาธิปตาย คนเสื้อแดงรักประชาธิปไตยสำคัญสุด…”
ก็ไม่ต้องแปลความครับ “ตัว”
ลักษณะนามใช้เรียก “สัตว์”
ส่วน “เห่า” ก็ หมา
“จตุพร” เป็นหมา
ถุย…แถมท้าย นักประชาธิปไตย “ทักษิณ” ยังกล้าพูดเรื่องประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ใช้พฤติกรรมเผด็จการเบ็ดเสร็จในการควบคุมพรรคเพื่อไทย
ช่วงนี้ “จตุพร” มีเวลาเหลือเฟือที่จะซัดกับ “ทักษิณ”
ว่ามาก็โต้กลับ
“…ทักษิณ พูดว่า ช่วง ๑๖ ปีท่านก็ถูกเห่า นับตนเป็นตัว และตั้งฉายาให้ตัวเองว่า ถูกเห่า ท่านบอกว่าไม่ต้องมาฟังตนให้ใช้น้ำยาล้างหูไป ก็พยายามหลีกเลี่ยง แล้วใช้ถ้อยคำว่า ถูกเห่ามา ๑๖ ปี ๒-๓ ตัวและบางตอนก็ ๔-๕ ตัว มีการนับเป็นตัว เขาบอกภาษาไทยไม่แข็งแรง แล้วหัวเราะกันสนุกสนาน”
“ผมกับนายกฯ ทักษิณ ปราศรัยเวทีเดียวกันมาในช่วงอยู่ประเทศไทย และผ่านวิดีโอลิงก์ต่างกรรมต่างวาระกันมายาวนานที่สุด
ถ้าการพูดของผมเป็นการเห่า บนเวทีนี้ท่านก็ร่วมเห่ากับผมด้วย ถ้าผมหมา ท่านก็หมา ท่านอาจเป็นจ่าฝูง ถ้านับบรรดาศักดิ์ของหมู่หมาด้วยกัน”
“ถ้าหลักคิดของทักษิณมองผู้ร่วมต่อสู้ด้วยกันเป็นหมา เป็นตัว แล้วหลีกเลี่ยงการตอบความจริง
ดังนั้นท่านต้องนึกช้าๆ ว่า สิ่งที่ท่านดำเนินการทั้งหมดไปนั้น ถ้าตรงไปตรงมากับประชาชน และไม่พูดถึงผมในทางเป็นเท็จและเกิดความเสียหายในช่วงนี้
แล้วผมจะมาพูดเรื่องนี้ในช่วงนี้ทำไม…”
ก็เข้าใจตรงกันนะครับ เอาตามที่ “จตุพร” พูด ถ้า “ทักษิณ” ว่า “จตุพร” เป็นหมา ตัว “ทักษิณ” จะเป็นตัวอย่างอื่นไม่ได้
นอกจาก “หมา” เหมือนกัน
ดีหน่อยตรงที่เป็น หมาจ่าฝูง
ครับ…ก็ได้รู้เรื่อง ที่ไม่เคยได้รู้ เพิ่มเติม จากปาก “จตุพร”
นี่คือเวลาแห่งความคับแค้น
“…การต่อสู้ทางการเมืองที่ผ่านมามีความตายมากมาย ตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นหัวโขนเล็กมาก เมื่อเทียบกับความตายของประชาชน กระทั่งถึง พรรคเพื่อไทยจะออก พ.ร.บ.สุดซอย ผมรับได้ยากมาก เพราะต้องการให้นิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนที่กำลังติดคุก
แต่รัฐบาลไม่ยอมออกพระราชกำหนด กลับมาออกเป็น พ.ร.บ.แทน แล้วไปแปลงสารขยับเพิ่มให้นิรโทษกรรมแกนนำและพ่วงคดีทุจริตเพื่อให้เป็นประโยชน์กับทักษิณได้กลับบ้าน
สิ่งสำคัญ ผมทักท้วงว่า ถ้านิรโทษฯ นอกเหนือประชาชนแล้ว มันจะล้มครืนลง แล้วประชาชนจะติดคุก และจะไม่มีโอกาสอีกเลย เขาก็ไม่ฟัง แล้วไปพูดที่ประเทศนอร์เวย์ว่า ผมไม่ต้องการให้ทักษิณกลับบ้าน
ทั้งที่ในวงพูดคุยยุทธศาสตร์ของพรรคมีรองนายกฯ และรัฐมนตรี และพี่เปีย (อภิวันท์ วิริยะชัย) เห็นด้วยกับผมว่า อย่าเอาเรื่องคนอื่นนอกจากประชาชนมา ถ้าเอาทักษิณกลับบ้านต้องทำวาระอื่น
แต่วาระนี้ต้องตอบแทนประชาชน ส่วนที่ตายและบาดเจ็บเอาชีวิตและร่างกายกลับคืนมาไม่ได้ แต่คนกำลังสูญเสียอิสรภาพ นี่เป็นโอกาสเดียวเท่านั้น แล้วท่านก็โกรธ…”
ก็ชัดเจนนะครับ ไอ้ที่ไปปลิ้นปล้อนว่า ไม่ได้นิรโทษโกง นั้น โกหกทั้งเพ
วัตถุประสงค์หลักของ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอยคือ ล้างความผิดให้ “ทักษิณ”
ฉะนั้นที่ กปปส. มวลมหาประชาชน ลุกฮือขึ้นมา ร่วมกันเป่านกหวีด คือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ไม่ใช่ความผิด ไม่ต้องไปขอโทษใคร
สิ่งที่ “จตุพร” ออกมายืนยัน นอกจากรัฐบาลระบอบทักษิณโกงแล้ว ยังมีความพยายามล้างความผิดให้คนโกง โดยใช้ความทุกข์ยากของคนเสื้อแดงเป็นตัวประกัน
การรัฐประหาร ๒ ครั้ง คือ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ กับ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ คือส่วนหนึ่งของต้นเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งมาจนถึงปัจจุบัน
แต่ไม่ใช่สาเหตุหลัก ที่มักนำเอามาอ้างว่า ถ้าไม่มีรัฐประหารประเทศไทยจะเจริญกว่านี้
และการที่ “ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ” ต้องหนีไปต่างประเทศ ไม่ได้มีต้นเหตุจากการทำรัฐประหาร
ไม่ใช่การกลั่นแกล้งทางการเมือง
ทั้งคู่มีส่วนในการคอร์รัปชันในรัฐบาลของตัวเองต่างหาก
รัฐประหารเป็นเพียงตัวเร่งให้การจัดการกับคนโกงมีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น
แต่รัฐประหารก็มีข้อเสียในตัวมันเอง
โลกไม่ยอมรับ!
เพราะไม่มีหลักประกันอะไรว่า คณะรัฐประหารจะทำเพื่อประชาชนจริงๆ ขณะที่การทำรัฐประหารทั่วโลกส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการ “ชิงอำนาจ”
มันจึงเป็นภาพหลอน จนบางคนคิดไปว่าอยู่กับนักการเมืองขี้โกงยังดีกว่า เพราะมาจากประชาชน
จนวันนี้นักการเมืองโกงกลายเป็นฝ่ายประชาธิปไตย
บิดเบี้ยวไปหมด
ก็ไม่แปลกที่ “จตุพร” จะทิ้งท้ายไปถึง “ทักษิณ” ได้เห็นภาพชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยมีการพูดกันมา
“…ผมอยากจะบอกนายกฯ ทักษิณ ที่ท่านบอกถูกเห่า ผมจะบอกท่านว่า ถ้าผมหมา ท่านก็คือหัวหน้าหมา แล้วเราพูดภาษาหมากันมานานแล้ว
หมามันมีคุณสมบัติข้อหนึ่ง คือเรื่องความซื่อสัตย์ ท่านยังเป็นหมาไม่ได้เลย หรือเป็นหมาที่ใช้ไม่ได้ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้น คือความซื่อสัตย์ระหว่างกัน เพราะแลกชีวิตและตายได้ตลอดเวลา
ถ้าเห็นแก่ตัวก็ต้องหนีตามท่านสิ ประเพณีนี้เมื่อหัวหน้าหนีก็จะดี เมื่อผมไม่หนีก็เป็นตัวแปลกอยู่แล้ว…”
เป็นหมายังไม่ได้