เปลว สีเงิน
๓ ต.
“ต.ตู่-ต.ตุ๋ย-ต.ไตรรงค์”
เข้ามาแทนที่ ๓ ป. “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” ในพื้นที่การเมืองนับจากนี้
ก็แปลกดี
พรรค “รวมไทยสร้างชาติ” โลโก้เป็นธงไตรรงค์
ถ้าไม่บังอิญ ก็ฟ้าดินจัดสรร
ได้คนชื่อ “ไตรรงค์ สุวรรณคีรี” มาเป็น “เสนาธิการใหญ่” ฝ่ายการเมืองของพรรค!
ไตรรงค์เคยเป็นทั้งโฆษก ทั้งคลังสมองข้างกาย “ป๋าเปรม” สมัยเป็นนายกฯ สร้างสังคมชาติ ให้โชติช่วงชัชวาล
หลังจากป๋าเปรม บอก “พอแล้ว”
ไตรรงค์ก็ลงสมัครสส.ที่สงขลา สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี ๒๕๒๙ และเป็นลูกแม่พระธรณีบีบมวยผมเรื่อยมา
อีก ๓๖ ปีต่อมา คือเมื่อ ตุลา.๖๕
ไตรรงค์ ยื่นใบลาออกจากประชาธิปัตย์ หนึ่งในเหตุผล
“ผมขอโอกาสมีลมหายใจเป็นของตนเองสักครั้งหนึ่งในบั้นปลายชีวิตทางการเมืองของผม”
และ “ลมหายใจ” ของต.ไตรรงค์
ก็มารวมเป็น “ลมหายใจ” ทางการเมืองเพื่อชาติ ในบทบาทที่ปรึกษาให้ “นายกฯ ลุงตู่”
ลุงตู่ ผู้ใช้เวลา ๘ ปี…..
ต่อคบเพลิงโชติช่วงชัชวาลย์ทางเศรษฐิจชาติของป๋าที่ใกล้หรี่ดับ ให้โชนฉานชัชวาลชาติ สู่ศตวรรษที่ ๒๑
เมื่อ ต.ตู่ ตัดสินใจประกาศเป็นสมาชิกพรรค “รวมไทยสร้างชาติ” ของ ต.ตุ๋ย “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค”
ต.ไตรรงค์ ก็ร่วมเป็น “ไตรรงค์” เต็มผืนให้รวมไทยสร้างชาติ เป็น “๓.ต.” โบกสะบัด “ขัดลูกตา” เหล่าพรรคที่ริษยาทางการเมืองยิ่งนัก!
ต.ตุ๋ย “พีระพันธุ์” นั้น …..
จะว่าไป ก็สายเลือดลูกแม่พระธรณีบีบมวยผม เช่นเดียวกับต.ไตรรงค์ และ ข.ขิง “เอกนัฎ พร้อมพันธุ์” ในฐานะคนรุ่นใหม่ในตำแหน่งเลขาฯ พรรค
เมื่อเห็น ต.ตู่ “ขุนพลทหาร” แต่ปฎิบัติการเพื่อชาติ, ศาสน์, กษัตริย์ และประชาชน เด่นชัดในวิถีประชาธิปไตย
คือ ยึดกฎหมาย….
ยึดประโยชน์ชาติ ประโยชน์ประชาชนต้องมาก่อน และสถาบัน ต้องมั่นคง-ปลอดภัย
ใครจะด่า จะชัง จะใส่ร้าย เหยียดหยาม นินทาตัวท่าน ก็ตามสบาย ยกให้เป็นสิทธิเสรีภาพตามวิถีประชาธิปไตย
แต่กับความมั่นคงชาติและสถาบัน
ใคร..หน้าไหน ….
ก็ห้าม “ล้ำเส้น” เป็นอันขาด!
และในทางปฎิบัติตัวท่าน คือตัวนายกฯ ถึงไม่รวย แต่ไม่มีการ “โกงเอามาแบ่งกัน” เป็นที่รับรู้-ยอมรับทั้งในหมู่ศัตรู และหมู่ชนผู้มีสัจจะในหัวใจ
เพราะเหตุนี้ บุคคลผู้มีปณิธานเป็นศรัทธาเพื่อชาติมั่นคงและมหาชนมั่งคั่ง ก็ดั่งประทีปลอยคงคา
ในความหลากเส้นทางคงคาไหล
สุดท้าย ใจคือปณิธานเจตนา ก็เป็นมหานทีรวมสาย ไหลไปบูชาพระจุฬามณี ณ ชั้นดาวดึงส์ เดียวกัน
การที่คนการเมือง “ปณิธานเดียวกัน” แต่อยู่คนละทิศ-คนละทาง
แล้ววันหนึ่ง ในโลกที่ไม่มีคำว่าบังเอิญ……
แต่ละบุคคลผู้ไม่ต่างปณิธานที่โลกจัดสรรไว้แล้ว ก็โคจรมารวมสาย ก่อเกิดเป็นมหานทีรวมสาย “รวมไทยสร้างชาติ”
ใต้ธงนำ ๓.ต.ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวาน (๙ มกรา.๖๖)
อยากบอกว่า…
เป็นปรากฎการณ์ทาง “สัจจาธิษฐาน” บนเส้นทาง “สีขาว” ทางปณิธานทางการเมืองของนายกฯ ประยุทธ์
นับว่าน่าสนใจและน่าติดตามดูยิ่งนัก!
ที่จริง ไทยโพสต์ก็อยู่ไม่ไกลศูนย์ประชุมสิริกิติ์ แต่นอกอ้อมแขนการเมือง จึงไม่ได้ไปดมบรรยากาศด้วยจมูกตัวเอง
อาศัยดูๆ ฟังๆ จากข่าวสาร….
ฟังว่า แฟนานุแฟนลุงตู่ แห่แหนกันมาให้กำลังใจชนิดกินกันไม่ลง ระหว่างคอนเสิร์ตแบล็กพิงค์ที่สนามศุภฯ กับที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์เย็นวาน!
“พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง” อดีตผู้ว่าฯกทม.มาสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ
ผมเซอร์ไพรส์นะ
พล.ต.อ.อัศวิน แต่ก่อนผมเฉยๆ แต่ตอนนี้นับถือท่าน ไม่ใช่นับถือตรงมาเป็นสมาชิกพรรครทสช.
แต่นับถือ ตรงที่ท่าน เมื่อแพ้เลือกตั้งกทม.ก็แสดงความเป็น “สุภาพบุรุษการเมือง” เยี่ยงอดีตนักการเมืองอื่นๆ ที่น่านับถือ (ยกเว้นทักษิณ)
คือแพ้ ก็หลีกทางให้คนชนะเขา
ไม่มาวอแว ไม่ทำตัวเป็น “อำนาจซ้อน” ซ่อนอยู่ในหมู่ข้าราชการกทม.ซึ่งพล.ต.อ.อัศวิน เป็นดั่งหน้ามือ
ที่ต่างกับ “หลังตีน” อย่างที่ทักษิณเป็นอยู่ทุกวันนี้!
จะเห็นได้จากชัชชาติเข้ามาบริหารกทม.ผ่านฮันนีมูน ๓ เดือนไปแล้ว จนขณะนี้ กว่าค่อนปี
มีแต่เสียงด่าและเสียง “ขับไล่”
ไหนบอก “อาสาเข้ามาแล้ว ทำไม่ได้ ก็อย่ามาเป็น”
ตอนหาเสียง ทำได้หมด ทุกปัญหา แก้ได้หมด
แต่พอเป็น ๒๑๔ ข้อที่ให้ไว้ ข้อเดียว ชัชชาติก็ยังทำไม่ได้เลย
ไม่ได้ก็ยกไว้……
แต่ที่จัญไร ก็คือ ของดีๆ ที่ยุคอัศวินทำไว้ นอกจากยกเลิกบ้าง ไม่สานต่อบ้าง
ซ้ำร้าย “กรุงเทพฯ ดีอยู่เดิม” ยุคชัชชาติกลับซ้ำเติมปล่อยให้ชำเราเมืองกันตามสบาย จนใกล้จะเป็น “นรกกรุง” ไปแล้ว!
แบบนี้ ถ้าเป็นคนอื่น เช่นทักษิณ
ต้องออกมาฉวยโอกาสแทรกแซงงาน ฉวยโอกาสด่าซ้ำเติมไปแล้ว อย่างที่ทักษิณทำกับนายกฯ ประยุทธ์ ทั้งใต้ดิน-บนดิน ตลอด ๘ ปีที่ผ่านมา
แต่นี่ กับอดีตผู้ว่าฯ อัศวิน….
“คำเดียว” ก็ไม่เคยมีเป็นความเห็นเชิงลบ-เชิงบวก ออกจากปากท่าน เป็นการแทรกแซงเกี่ยวกับงาน กทม.ในอุ้งมือ-อุ้งตีนคิงคองยักษ์
ตรงนี้ ผมจึงนับถือ ยอมรับในความเป็น “สุภาพบุรุษการเมือง” ของท่าน
เมื่อมาเป็นสมาชิกพรรครทสช.ท่านบอก ไม่ลงสส.ไม่ลงปาร์ตี้ลิสต์ มาช่วยทำงานให้ลุงตู่อย่างเดียว
มีคนการเมือง แฟรงค์ๆ แฟร์ๆ แบบนี้ ชาวบ้านสบายใจ
อดีตผู้ว่ากทม.อัศวิน มาแล้ว….
แล้ว “เดอะจั้ม” สกลธี ภัททิยกุล อดีตรองผู้ว่าฯ กทม.หายไปไหน เมื่อวานจึงไม่เห็น
“เดอะจั้ม” นี่เหมือนกัน พ่ายให้ผู้ว่าฯ ล้านสามไปเมื่อพฤษภา.ปีที่แล้ว ก็ไม่ออกมาวิพากษ์-วิจารณ์อะไรในงานกทม.ที่เหลวเละขณะนี้
ทั้งที่ พื้นที่หลายๆ แห่งในกทม.เป็นงานที่ “เดอะจั้ม” จัดระเบียบไว้ดีแล้ว ก็เละไปเรียบร้อยแล้วเช่นกันตอนนี้
นี่ก็วิถี “สุภาพบุรุษทางการเมือง” เช่นกัน
เมื่อเสนอตัวแล้ว ประชาชนยังไม่พร้อมมอบหน้าที่ให้ทำ แต่มอบให้ชัชชาติทำ ก็ต้องเคารพเสียงล้านสาม
ให้ชัชชาติเขาบริหารไป
ถ้าตัวเองศรัทธารับใช้ในงานกทม.ก็ไม่ต้องหากินบนซากศพคนอื่น
แต่จงยืนบนฐาน “เจตนารมณ์” มุ่งมั่นงานกทม.ให้คนกรุงเห็น เพราะ ๔ ปี แป๊บเดียวเอง
อีกทั้ง “เดอะจั้ม” ไม่ใช่คนแปลกหน้าของคนกรุง มีผลงานสมัยเป็นรองผู้ว่าฯ เป็นที่ประจักษ์ ทั้งมักคุ้นกับชาวกทม.อีกตะหาก
เพียงแสดงความมุ่งมั่นในศรัทธาว่าพร้อมกับงานกทม.และอย่าห่างหน้ากับคนกทม.
เมื่อถึงเวลา ด้วย “ศรัทธาและจริงใจ” ต่อคนกทม.
ผมเชื่อ “เดอะจั้ม” ซึ่งโดยพื้นฐานคนกทม.รักเอ็นดูอยู่แล้ว เพียงกะล่อนทางการเมืองไม่เป็นเท่านั้น
วันหนึ่ง อย่าว่าล้านสามเลย
“๒ ล้าน” คนกทม.ก็พร้อมเทให้กับ “เดอะจั้ม” ถ้ารักษามารตรฐานความมุ่งมั่นให้คนกรุงเห็นสม่ำเสมอ
ผมเชื่อ…
เดอะจั้ม ก็ต้องมาอยู่รวมไทยสร้างชาติกับนายกฯ กับคุณพีระพันธุ์ และดร.ไตรรงค์
ตัวแทนพรรคที่จะชิงชัยสนามผูู้ว่าฯกทม.สมัยต่อไป “เดอะจั้ม” เป็นตัวเลือกดีที่สุด
และถึงตอนนั้น ผมก็เชื่อ อดีตผู้ว่าฯ อัศวิน จะเป็นอีกแรงที่ช่วยส่งเสริม
คุยถึงคุณอัศวินก็เลยยาวไปถึงเดอะจั้ม “สกลธี” คนมีอนาคตที่น่าสนใจ
ถ้าได้ฝึกปรือวิชา “กระบี่ปราบมาร” กับอาจารย์ไตรรงค์ซักพักละก็ จะเป็นหนึ่งในยุทธจักร “นักบู๊หน้าหยก” รุ่นใหม่ได้ไม่ยาก
นี่ผมก็คุยไป หูก็เงี่ยฟังข่าวโทรทัศน์เขารายงานนายกฯ ขึ้นเวทีเปิดตัวไป
พิธีกรข่าวเอ่ยปากประมาณว่า “นายกฯองค์ลง”!
ขึ้นเวทีทางการเมืองมาก็หลายครั้ง
แต่ครั้งนี้ ที่สัตยาบัน “รวมไทยสร้างชาติ” ท่ามกลางสักขีพยานล้านแปด ณ ศูนย์ประชุมสิริกิติ์
เปลี่ยนจาก “ลุงตู่”
เป็น “บิ๊กตู่” ผู้แกล้วกล้าหน้าแนวประชาธิปไตยรวมไทยสร้างชาติ เจ้าของวาทะ
“ประเทศไทยต้องไปต่อ….
ไม่ใช่ผม…ประยุทธ์ ไปต่อ”
ก็ “เคลียร์ คัท ชัดเจน” ครับ!
เปลว สีเงิน
๑๐ มกราคม ๒๕๖๖