ผักกาดหอม
“ความเป็นพี่น้องมันเลิกไม่ได้ เรื่องอื่นก็ว่ากันไป”
คำพูดของ “ลุงตู่” ในห้องประชุมคณะรัฐมนตรีวานนี้ (๘ พฤศจิกายน) น่าคิดอยู่เหมือนกัน
ปกติหากไม่มีเรื่องเห็นต่าง ย่อมไม่มีคำพูดที่ว่า เรื่องอื่นก็ว่ากันไป
ก็แสดงว่ามี!
ความเป็นพี่น้องของ ๓ ป. ลุงๆ การันตีว่า มันเลิกไม่ได้ ฉะนั้นไม่ต้องไปแปลความเป็นอย่างอื่น ๓ ป. ยังกลมเกลียวในความเป็นพี่เป็นน้อง
แต่ในทางการเมือง อาจไม่ใช่
ข่าวอินไซด์ในที่ประชุม ครม. รายงานว่าช่วงท้ายการประชุม “ลุงตู่” พูดเปิดอก บรรดารัฐมนตรีนั่งฟังเงียบ กริบ
“…อยู่กันมา ๓ ปี เหลืออีกไม่กี่เดือน ขอบคุณทุกคน ช่วงนี้มีการแสดงโขนที่ ครม.เหมารอบไว้ ในสภาก็ขอให้เป็นตอนพักรบ ให้ช่วยเรื่องเอเปกก่อน
ขอให้ทุกคนเบาๆ เข้าใจทุกคน ทั้งพี่ป้อม จุรินทร์ (จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) หนู (อนุทิน ชาญวีรกูล) กับพี่ป้อมก็ไม่มีอะไร ไม่เครียด ไม่ทะเลาะกันอยู่แล้ว ความเป็นพี่น้องมันเลิกไม่ได้ เรื่องอื่นก็ว่ากันไป…”
เป็นการสื่อสารไปยังคณะรัฐมนตรี อย่างน้อยก็เพื่อเตือนว่า นายกฯ รู้ว่ามีปัญหาไม่ลงรอยภายในพรรคร่วมรัฐบาล
ฉะนั้นสถานการณ์แบบนี้คือจุดเริ่มต้นที่นายกรัฐมนตรีอาจต้องตัดสินใจทางการเมือง
จะถึงขั้นยุบสภาหรือไม่ อยู่ที่สถานการณ์จะบานปลายไปกว่านี้หรือไม่
“ลุงตู่” พูดเรื่องโขนขึ้นมา ไม่น่าจะพูดลอยๆ
หรือแค่ชวนไปดูโขน
อนุมานได้ว่า ทุกคนที่นั่งในห้องประชุม ครม.ล้วนสวมหัวโขนกันทั้งสิ้น
ถอดหัวโขนออก ก็ไร้ซึ่งอำนาจ บารมี
การที่ “ลุงตู่” ให้พักรบ แล้วช่วยกันเรื่องเอเปกก่อน มุมหนึ่งคือการร้องขออย่าให้มีความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล
อีกมุมหลังเอเปก อาจต้องถอดหัวโขนกันทุกคน
ปัญหาของรัฐบาล ณ เวลานี้ ไม่ถึงขั้นที่ต้องสละเรือ
แต่การเมืองไทยมีบทเรียนที่ถอดกันมาเป็นรุ่นๆ รัฐบาลมักพังจากข้างใน
รัฐบาลประยุทธ์ก็อยู่ในข่ายนี้
ความขัดแย้งระหว่างพรรคภูมิใจไทย กับ พรรคประชาธิปัตย์ ที่สะสมมานับเดือน ถึงขั้นแตกหัก นำไปสู่การยุบสภาแล้วหรือยัง
คำตอบคือยัง
เป็นที่เข้าใจได้ว่า นี่คือสถานการณ์ก่อนการเลือกตั้ง การหาเสียงย่อมดุเดือด แม้จะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน ก็ไม่มีข้อยกเว้น
ที่สำคัญสนามเลือกตั้งของพรรคภูมิใจไทย กับพรรคประชาธิปัตย์ ได้ทับซ้อนกันหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้
นี่แค่อีกหนึ่งหัวโขนที่ต้องสวม
แต่หากจะให้รัฐบาลพังพาบในตอนนี้ ไม่ใช่ความต้องการของทั้ง ๒ พรรค
กรณีนี้ต่างจากความขัดแย้งภายในพรรคร่วมในอดีต
รัฐบาลชวน ๑ ต้องยุบสภา เพราะความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาลอย่างรุนแรง จนไม่อาจอยู่ร่วมรัฐบาลกันได้
ย้อนกลับไปปี ๒๕๓๘ รัฐบาลชวน หลีกภัย ถูกฝ่ายค้านนำโดยพรรคชาติไทย ที่มี “บรรหาร ศิลปอาชา” เป็นหัวหน้าพรรค อภิปรายไม่ไว้วางใจ กรณีการออกเอกสารสิทธิ ส.ป.ก.๔-๐๑ ให้นายทุน
พรรคพลังธรรมซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนั้น มีมติงดออกเสียง เนื่องจากเห็นว่ารัฐบาลไม่สามารถตอบโต้ข้อกล่าวหาได้ชัดเจน
รวมทั้ง ส.ส.กลุ่ม ๑๖ ในพรรคชาติพัฒนา หนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาล ขู่คว่ำรัฐบาลเช่นกัน
สุดท้ายพรรคพลังธรรม ประกาศถอนตัวออกจากรัฐบาล
แต่พรรคพลังธรรมเองก็มีความขัดแย้งภายในอย่างรุนแรง
สมาชิกส่วนหนึ่งนำโดย น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ และ พ.อ.วินัย สมพงษ์ ไม่เห็นด้วยกับการปรับคณะรัฐมนตรีในส่วนของพรรค หลัง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กลับมารับตำแหน่ง ได้ล้างไพ่รัฐมนตรีของพรรคใหม่ทั้งหมด
จึงเกิดกลุ่ม ๒๓ ขึ้นมา
กลุ่ม ๒๓ มักมีแนวคิดสวนทางรัฐบาลหลายต่อหลายครั้ง
และในวันก่อนลงมติไม่ไว้วางใจ สมาชิกของกลุ่ม ๒๓ ของพรรคพลังธรรม รวมถึงกลุ่ม ๑๖ ที่อยู่ในสังกัดพรรคชาติพัฒนา นำโดย
สมพงษ์ อมรวิวัฒน์
สุชาติ ตันเจริญ
ว่าที่ร้อยตรีไพโรจน์ สุวรรณฉวี
จำลอง ครุฑขุนทด
ประวัฒน์ อุตตะโมต
สมชาย เพศประเสริฐ
ประกาศลงมติไม่ไว้วางใจ
พรรคพลังธรรมจึงถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล
ส่งผลให้ “ชวน หลีกภัย” ประกาศยุบสภา ในเช้าวันก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรจะลงมติในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ
หากเทียบสถานการณ์ ณ เวลานี้ของรัฐบาลประยุทธ์ กับสถานการณ์ของรัฐบาลชวน ในอดีต ยังถือว่าห่างไกล
ฉะนั้นหากความขัดแย้งระหว่างพรรคภูมิใจไทย กับพรรคประชาธิปัตย์ ไม่พัฒนาไปสู่ความขัดแย้งที่อยู่ร่วมกันไม่ได้ ก็ยังห่างไกลการยุบสภา
มาถึงประเด็นสำคัญ “…ความเป็นพี่น้องมันเลิกไม่ได้ เรื่องอื่นก็ว่ากันไป…”
ความเป็นพี่น้องยังคงอยู่ แต่เส้นทางการเมืองอาจถึงเวลาต้องเดินคนละเส้นทาง
ไม่ใช่ขัดแย้ง แต่ต่างคนต่างต้องเดินในเส้นทางของตัวเอง
ในทางทฤษฎีและปฏิบัติ นายกฯ คนละครึ่ง ไม่มีทางเป็นไปได้
เพราะครึ่งแรกกับครึ่งหลัง แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ใครขึ้นในครึ่งหลังไม่มีหลักประกันว่าจะได้เป็นนายกฯ จริง เพราะ ๒๕๐ ส.ว. กลายเป็นอดีตไปแล้ว
พฤษภาคม ๒๕๖๗ ต้องเก็บผ้าเก็บผ่อนกลับบ้านเพราะครบวาระ ๕ ปี
ฉะนั้นปิดประตูตาย การหาเสียงเลือกตั้งจะไม่มีคำว่านายกฯ คนละครึ่ง
มีแค่นายกฯ ๔ ปีเท่านั้น
นี่จึงเป็นเงื่อนไขให้ ๓ ป.ต้องตัดสินใจ
“ลุงตู่” ไม่น่าจะได้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ เพราะสามารถเป็นนายกฯ ได้เพียง ๒ ปีเท่านั้น
ขณะที่ “ลุงป้อม” ๔ ปีเต็ม
“ลุงตู่” ไปรวมไทยสร้างชาติ ก็หนีนายกฯ ๒ ปีไปไม่พ้น
การชู “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” จึงดูสมเหตุสมผลกว่า
พี่น้อง ๓ ป. จึงน่าจะมองตารู้ใจ
“ลุงตู่” อยู่ครบเทอม
เลือกตั้งใหม่ “ลุงป้อม” เป็นแคนดิเดตนายกฯ พรรคพลังประชารัฐ
หากพลังประชารัฐร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทย “ลุงตู่” ไม่มีทางเลือกอื่น
นอกจากวางมือ